ซากโบราณสถานในเขตพระราชวังกรุงกบิลพัสดุ์
เจ้าสุปปพุทธะผู้เป็นพระราชบิดาของพระนางสิริมหามายาและพระเทวทัต ทรงผูกอาฆาตในพระศาสดา ดำริว่า
"พระสมณโคดมนี้ทิ้งลูกสาวของเราออกบวช และให้ลูกชายของเราบวช แต่กลับผูกเวรต่อลูกชายของเรา วันนี้ เราจักไม่ให้พระสมณโคดมไปฉันยังสถานที่นิมนต์"
ดังนี้แล้ว จึงนั่งเสวยน้ำจัณฑ์ในระหว่างทางที่พระศาสดาจะเสด็จผ่าน
เมื่อพระศาสดาพร้อมภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมเสด็จมาถึง พวกมหาดเล็กได้ทูลท้าวเธอว่า
"พระศาสดาเสด็จมาแล้ว พระเจ้าข้า"
ท้าวเธอตรัสว่า
"พวกเจ้าจงล่วงหน้าไปก่อน จงบอกพระสมณะนั้นว่า พระสมณโคดมองค์นี้ไม่ได้เป็นใหญ่กว่าเรา เราจักไม่ให้ทางแก่พระสมณโคดมนั้น"
แม้พวกมหาดเล็กทูลเตือนแล้ว ๆ ท้าวเธอก็คงประทับนั่งรับสั่งอย่างนั้นแล
พระศาสดาไม่อาจผ่านทางเพื่อเสด็จไปยังปราสาทของพระมาตุลาได้ จึงเสด็จกลับ ท้าวเธอรับสั่งกับจารบุรุษ (คนสอดแนม) คนหนึ่งว่า
"เจ้าจงไปฟังคำของพระสมณโคดมนั้น แล้วกลับมา"
พระศาสดาเสด็จกลับมา ได้ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เถระทูลถามว่า
"อะไรหนอแล เป็นปัจจัยแห่งการแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"อานนท์ เธอเห็นเจ้าสุปปพุทธะไหม"
"เห็น พระพุทธเจ้าข้า"
"เจ้าสุปปพุทธะไม่ให้ทางแก่พระพุทธเจ้าผู้เช่นเรา ทำกรรมหนักแล้ว ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ ท้าวเธอจักถูกธรณีสูบ ณ ที่ใกล้เชิงบันได ในภายใต้ปราสาทของท้าวเธอ
จารบุรุษได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ไปสู่ที่ประทับของเจ้าสุปปพุทธะ เจ้าสุปปพุทธะตรัสถามว่า
"พระสมณโคดมนั้นเมื่อกลับไป พูดอะไรบ้าง"
จารบุรุษกราบทูลตามที่ตนได้ยิน ท้าวเธอได้สดับคำของจารบุรุษนั้นแล้ว ตรัสว่า
"พระสมณโคดมย่อมไม่ตรัสผิด เธอตรัสคำใด คำนั้นต้องเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทีเดียว แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น คราวนี้ เราจักทำให้คำตรัสของเธอเป็นเท็จ เพราะเธอไม่ตรัสโดยเจาะจงว่า 'ท่านสุปปพุทธะจักถูกธรณีสูบในวันที่ ๗ ' แต่ตรัสว่า 'ท่านสุปปพุทธะจักถูกธรณีสูบที่ใกล้เชิงบันไดใต้ปราสาท' ตั้งแต่วันนี้ไป เราจักไม่ไปยังที่นั่น เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะไม่ถูกธรณีสูบ เราจักข่มเธอด้วยการพูดเท็จ"
เจ้าสุปปพุทธะทรงทำการรักษาพระองค์อย่างแข็งแรง ท้าวเธอรับสั่งให้พวกมหาดเล็กขนเครื่องใช้สอยของพระองค์ทั้งหมดไว้บนปราสาท ๗ ชั้นให้ชักบันได ปิดประตู ตั้งคนแข็งแรงประจำไว้ที่ประตู ประตูละ ๒ คน ตรัสว่า
"ถ้าเราจะลงไปข้างล่างโดยความประมาทไซร้ พวกเจ้าต้องห้ามเราเสีย"
ดังนี้แล้ว ประทับนั่งอยู่แต่บนปราสาทชั้นที่ ๗
พระศาสดา ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เจ้าสุปปพุทธะมิใช่จะนั่งบนพื้นปราสาทอย่างเดียว ต่อให้เหาะขึ้นไปสู่เวหาส นั่งในอากาศก็ตาม ไปสู่สมุทรด้วยเรือก็ตาม เข้าซอกเขาก็ตาม ธรรมดาพระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเป็นสองไม่มี ท้าวเธอจักถูกธรณีสูบในสถานที่เราพูดไว้นั่นแหละ"
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีไปสู่ซอกภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
เพราะเขาอยู่ในประเทศแห่งแผ่นดินใด ที่ความตายพึงครอบงำไม่ได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่"
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล
ในวันที่ ๗ ในเวลาเดียวกับเวลาที่เจ้าสุปปพุทธะปิดหนทางภิกษาจารของพระศาสดา ม้ามงคลของเจ้าสุปปพุทธะที่ใต้ปราสาทคึกคะนอง กระแทกฝาเกิดเสียงดัง ท้าวเธอประทับนั่งอยู่ชั้นบน ได้สดับเสียงของม้านั้น จึงตรัสถามว่า
"นั่นอะไรกัน"
พวกมหาดเล็กทูลว่า
"ม้ามงคลคะนอง พระเจ้าข้า"
ท้าวเธอมีพระประสงค์จะจับม้านั้น ได้เสด็จลุกจากที่ประทับ บ่ายพระพักตร์มาทางประตู ประตูทั้งหลายได้เปิดออกเอง บันไดได้ตั้งอยู่ในที่ของตนตามเดิม คนแข็งแรงผู้ยืนอยู่ที่ประตูจับท้าวเธอที่พระศอแล้วผลักจนพระพักตร์ของท้าวเธอคะมำลงไป มหาปฐพีแตกแยกออกสูบท้าวเธอลงไปที่ใกล้เชิงบันไดใต้ปราสาทนั่นเอง ท้าวเธอไปบังเกิดในอเวจีนรกแล้วแล
อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏ เล่มที่ ๔๒ ข้อที่ ๑๙ หน้า ๖๑-๖๕