ตโปทาราม นครราชคฤห์
ลำดับนั้นแล ท่านปุกกุสาติทราบแน่นอนว่าพระศาสดา พระสุคตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ จึงลุกจากอาสนะทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษล่วงเกินได้ต้องข้าพระองค์เข้าแล้ว ผู้มีอาการโง่เขลา ไม่ฉลาด ซึ่งข้าพระองค์ได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกพระผู้มีพระภาคด้วยวาทะว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ขอพระผู้มีพระภาคจงรับอดโทษล่วงเกินแก่ข้าพระองค์ เพื่อจะสำรวมต่อไปเถิด”
“ดูกรภิกษุ เอาเถอะ เพราะเธอเห็นโทษล่วงเกินโดยความเป็นโทษ แล้วกระทำคืนตามธรรม เราขอรับอดโทษนั้นแก่เธอ
ดูกรภิกษุ ก็ข้อที่บุคคลเห็นโทษล่วงเกินโดยความเป็นโทษแล้วกระทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไปได้ นั่นเป็นความเจริญในอริยวินัย"
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระองค์พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด"
"ดูกรภิกษุ ก็บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ"
"ยังไม่ครบ พระพุทธเจ้าข้า"
"ดูกรภิกษุ ตถาคตทั้งหลายจะให้กุลบุตรผู้มีบาตรและจีวรยังไม่ครบอุปสมบทไม่ได้เลย"
ลำดับนั้น ท่านปุกกุสาติยินดี อนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคกระทำประทักษิณแล้ว หลีกไปหาบาตรจีวร
การจบพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า การขึ้นแห่งอรุณ และการเปล่งพระรัศมีได้มีในขณะเดียวกัน ทรงเปล่งพระรัศมี มีสี ๖ ประการ นิเวศน์แห่งช่างหม้อทั้งหมดก็โชติช่วงเป็นอันเดียวกัน พระฉัพพัณณรัศมี ชัชวาลย์แผ่ไปเป็นกลุ่ม ๆ ทำทิศทั้งปวงให้เป็นดุจปกคลุมด้วยแผ่นทองคำ และดุจรุ่งเรื่องด้วยดอกไม้ทองคำและรัตนะอันประเสริฐซึ่งมีสีต่าง ๆ
ชาวพระนครทั้งหลายเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ต่างก็บอกต่อ ๆ กันว่า
"พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ประทับนั่ง ณ ศาลาช่างหม้อ"
แล้วกราบทูลแด่พระราชา ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารเสด็จไปถวายบังคมพระศาสดาแล้วตรัสถามว่า
"พระองค์เสด็จมาแล้วเมื่อไร"
"เมื่อเวลาพระอาทิตย์ตกวานนี้ มหาบพิตร"
"พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาด้วยกรรมอะไร"
"พระเจ้าปุกกุสาติพระสหายของพระองค์ทรงฟังพระราชสาส์นที่มหาบพิตรส่งไปแล้ว เสด็จออกบวช เสด็จมาเจาะจงเฝ้าอาตมาภาพ ล่วงเลยกรุงสาวัตถี เสด็จมา ๔๕ โยชน์ เสด็จเข้าสู่ศาลาช่างหม้อนี้ อาตมภาพจึงมาเพื่อสงเคราะห์พระสหายของมหาบพิตร ได้แสดงธรรมกถา กุลบุตรทรงแทงตลอดผล ๓ มหาบพิตร"
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลานี้พระเจ้าปุกกุสาติประทับอยู่ที่ไหน พระเจ้าข้า"
"พระเจ้าปุกกุสาติกุลบุตรทรงขออุปสมบทแล้ว เสด็จไปเพื่อทรงแสวงหาบาตรและจีวร เพราะบาตรและจีวรยังไม่ครบบริบูรณ์"
พระราชาเสด็จไปทางทิศทางที่กุลบุตรเสด็จไป ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเหาะไปปรากฏ ณ พระคันธกุฎีในพระเชตวันวิหาร
พระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชดำริว่า
"พระสหายของเราได้อ่านสาล์นที่เราส่งไป ทรงสละราชสมบัติที่อยู่ในพระหัตถ์ เสด็จมาทางไกลประมาณเท่านี้ กิจที่ทำได้ยากอันกุลบุตรได้ทำแล้ว เราจักสักการะเขาด้วยเครื่องสักการะของบรรพชิต"
ปุกกุสาติกุลบุตรนั้น เมื่อแสวงหาบาตรและจีวร ก็ไม่ไปสู่สำนักของพระเจ้าพิมพิสารและของพวกพ่อค้าเดินเท้าชาวเมืองตักกศิลา กุลบุตรคิดอย่างนี้ว่า
"การที่เลือกแสวงหาบาตรและจีวรที่พอใจและไม่พอใจในสำนักเหล่านั้น ไม่สมควรแก่เราผู้เป็นดุจไก่
พระนครนี้ใหญ่นัก จำเราจักแสวงหาที่ท่าน้ำ ป่าช้า กองขยะ และตามตรอก"
ท่านจึงปรารภเพื่อแสวงหาเศษผ้าที่กองขยะในตรอกก่อน ทันใดนั้นแล แม่โคได้ปลิดชีพท่านปุกกุสาติ ผู้กำลังเที่ยวหาบาตรจีวรอยู่
ราชบริวารทั้งหลายได้เห็นกุลบุตรนั้นล้มลงที่กองขยะ กลับมาทูลแด่พระราชา
พระเจ้าพิมพิสารเสด็จไป ทรงเห็นกุลบุตรแล้ว ทรงคร่ำครวญว่า
"ท่านทั้งหลาย พวกเราไม่ได้ทำสักการะแก่พระสหายหนอ พระสหายของเราไม่มีที่พึ่งแล้ว"
แล้วตรัสสั่งให้นำกุลบุตรด้วยเตียง ทรงตั้งไว้ในโอกาสอันสมควร ตรัสสั่งให้เรียกผู้อาบน้ำให้และช่างกัลบก เป็นต้น โดยให้รู้ถึงการทำสักการะแก่กุลบุตรผู้ยังไม่ได้อุปสมบท ทรงให้อาบพระเศียรของกุลบุตร ทรงให้นุ่งผ้าอันบริสุทธิ์เป็นต้น ทรงให้ตกแต่งด้วยเพศของพระราชา ทรงยกขึ้นสู่วอทอง ทรงให้ทำการบูชาด้วยวัตถุทั้งหลายมีดนตรี ของหอม และมาลาทุกอย่าง เป็นต้น ทรงนำออกจากพระนคร ทรงให้ทำมหาจิตกาธานด้วยไม้หอมเป็นอันมาก ครั้นทรงทำสรีรกิจของกุลบุตรแล้ว ทรงนำเอาพระธาตุมาประดิษฐ์ไว้ในพระเจดีย์
ต่อนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อปุกกุสาติที่พระผู้มีพระภาคตรัสสอนด้วยพระโอวาทย่อ ๆ คนนั้น ทำกาละเสียแล้ว เขาจะมีคติอย่างไร มีสัมปรายภพอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุกกุสาติกุลบุตรเป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม
ปุกกุสาติกุลบุตรเป็นผู้เข้าถึงอุปปาติกเทพ เพราะสิ้นสัญโญชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ เป็นอันปรินิพพานในโลกนั้น มีความไม่กลับมาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา"
ก็ในบุคคล ๔ จำพวก มีอุคฆฏิตัญญู เป็นต้น ปุกกุสาติกุลบุตรเป็นวิปัจจิตัญญู พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธาตุวิภังคสูตรนี้ด้วยอำนาจแห่งวิปัจจิตัญญู
ก็บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ไม่เกิดขึ้นแก่ปุกกุสาติกุลบุตร เพราะบาตรและจีวรอันสำเร็จแต่ฤทธิ์ย่อมเกิดแก่สาวกทั้งหลายผู้มีภพสุดท้ายเท่านั้น ส่วนกุลบุตรนี้ยังมีปฏิสนธิอีก เพราะฉะนั้น บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จึงไม่เกิดขึ้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ทรงแสวงหาด้วยพระองค์เองให้ถึงพร้อมเพราะพระองค์ไม่มีโอกาส อายุของกุลบุตรก็สิ้นแล้ว มหาพรหมผู้อนาคามีชั้นสุทธาวาส ก็เป็นราวกะมาสู่ศาลาช่างหม้อแล้วนั่งอยู่
ปุกกุสาติกุลบุตรนั้นทำกาละแล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นอวิหา พอเกิดแล้ว ก็บรรลุพระอรหัต
ชนที่สักว่าเกิดแล้วในอวิหาพรหมโลกมี ๗ คน ได้บรรลุพระอรหัต สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุ ๗ รูป เข้าถึงอวิหาพรหมโลก แล้วหลุดพ้น มีราคะและโทสะสิ้นแล้ว ข้ามตัณหาในโลก และท่านเหล่านั้นข้ามเปลือกตม บ่วงมัจจุราช ซึ่งข้ามได้แสนยาก ท่านเหล่านั้นละโยคะของมนุษย์แล้ว เข้าถึงโยคะอันเป็นทิพย์
ท่านเหล่านั้น คือ อุปกะ ๑ ปลคัณฑะ ๑ ปุกกุสาติ ๑ รวม ๓ ภัททิยะ ๑ ขันฑเทวะ ๑ พาหุทัตติ ๑ ปิงคิยะ ๑ ท่านเหล่านั้นละโยคะของมนุษย์แล้ว เข้าถึงโยคะอันเป็นทิพย์ ดังนี้
อ้างอิง : ธาตุวิภังคสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๖๙๔-๖๙๗ หน้า ๓๒๗-๓๓๖ และอรรถกถา