พระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา
ณ ภูเขาหิมพานต์อันมีโอสถทุกชนิด ดารดาษไปด้วยดอกไม้และของหอมทุกชนิด เป็นที่สัญจรเที่ยวไปแห่งช้าง โค กระบือ กวาง เนื้อทราย จามรี แรด ละมาด ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หมาไน เสือดาว นาก ชะมด แมว กระต่าย วัวกระทิง
เป็นที่อาศัยแห่งช้างใหญ่และช้างตระกูลอันประเสริฐ เกลื่อนกล่นอยู่ทั่วบริเวณอันราบเรียบ
มี ค่าง ลิง อีเห็น ละมั่ง เนื้อสมัน อีเก้ง หน้าม้า กินนร ยักษ์ รากษส อาศัยอยู่มากมาย
ดารดาษไปด้วยหมู่ไม้เป็นอเนก ทรงไว้ซึ่งดอกตูมและก้านมีดอกอันแย้มบานตลอดปลาย
มีฝูงนกออก นกโพระดก นกหัสดีลิงค์ นกยูง นกพิราบ นกพริก นกกระจาบ นกยาง นกแขก นกการเวก ส่งเสียงร้องก้องระงมไพร มาตรว่าฝูงละร้อย ๆ
เป็นภูมิประเทศที่ประดับด้วยแร่ธาตุหลายร้อยชนิด เป็นต้นว่า อัญชัน มโนศิลา หรดาล มหาหิงค์ ทอง เงิน ทองคำ เป็นป่าชัฏอันน่ารื่นรมย์เห็นปานนี้
ณ ที่นั้น มีนกดุเหว่าตัวหนึ่งชื่อ กุณาละ มีตัว ปีก และขนงดงามยิ่งนักอาศัยอยู่ และนกดุเหว่านั้นมีนางนกดุเหว่าเป็นนางบำเรอถึง ๓,๕๐๐ ตัว
นางนก ๒ ตัว เอาปากคาบท่อนไม้ให้นกกุณาละจับตรงกลางพาบินไป ด้วยประสงค์ว่า นกกุณาละนั้นอย่าได้มีความเหน็ดเหนื่อยในหนทางไกลเลย
เหล่านางนกดุเหว่า ๕๐๐ ตัว บินอยู่ข้างล่าง ด้วยประสงค์ว่า ถ้านกกุณาละนี้ตกจากคอน พวกเราก็จะเอาปีกรับไว้
นางนกอีก ๕๐๐ บินอยู่ข้างบน ด้วยคิดว่า แสงแดดอย่าได้ส่องถูกพญานกกุณาละนี้เลย
นางนกบินอยู่ด้านข้าง ข้างละ ๕๐๐ ด้วยประสงค์ว่า พญานกกุณาละนี้ อย่าได้ถูกความหนาว ความร้อน หญ้า ละออง ลม และน้ำค้างเลย
นางนกอีก ๕๐๐ บินอยู่ด้านหน้าด้วยประสงค์ว่า เด็กเลี้ยงโค เด็กเลี้ยงสัตว์ คนเกี่ยวหญ้า คนหักฟืน คนทำงานในป่า อย่าได้ขว้างปานกกุณาละนั้นด้วยท่อนไม้ กระเบื้อง เครื่องมือ หิน ก้อนดิน ไม้กระบอง ศาสตรา หรือก้อนกรวดเลย และนกกุณาละนี้อย่าได้ถูกกอไม้ เครือเถา ต้นไม้ กิ่งไม้ เสาหรือหิน หรือนกที่มีกำลังมากกว่าเลย
นางนกอีก ๕๐๐ บินอยู่ด้านหลัง เปล่งเสียงอันหวานไพเราะ อ่อนหวาน ด้วยประสงค์ว่า นกกุณาละนี้ อย่าได้เงียบเหงาอยู่บนคอนเลย
ยังมีนางนกอีก ๕๐๐ บินไปยังทิศต่าง ๆ นำผลไม้อันอร่อยจากต้นไม้หลายชนิดมาให้ ด้วยประสงค์ว่า นกกุณาละนี้ อย่าได้ลำบากเพราะความหิวเลย
นางนกเหล่านั้นพานกกุณาละเข้าป่า ออกป่า เข้าสวน ท่าน้ำ ซอกภูเขา สวนมะม่วง สวนชมพู่ สวนขนุนสำมะลอ สวนมะพร้าวโดยรวดเร็ว เพื่อต้องการให้รื่นเริง
ครั้งนั้น นกกุณาละผู้มีนางนกเหล่านั้นห้อมล้อมอยู่ตลอดวัน ก็ยังด่าอย่างนี้ว่า
“อีถ่อยฉิบหาย อีถ่อยละลาย อีโจร อีนักเลง อีเผลอเรอ อีใจง่าย อีไม่รู้จักคุณของตน อีตามใจคนเหมือนลม”
ณ ด้านทิศบูรพาแห่งขุนเขาหิมพานต์ มีแม่น้ำอันไหลมาแต่ซอกเขาอันละเอียดสุขุม มีสีเขียว ณ ภูเขาหิมพานต์อันเป็นภูมิประเทศที่น่ารื่นเริงบันเทิงใจ ด้วยกลิ่นหอมจากดอกอุบล ดอกปทุม ดอกโกมุท ดอกบัวขม ดอกบัวผัน ดอกจงกลณี และดอกบัวเผื่อน
เป็นป่าทึบมากไปด้วยไม้ต่าง ๆ ชนิด คือ ไม้โกฏดำ ไม้จิก ไม้เกต ไม้ยางทราย ไม้อ้อยช้าง ต้นบุนนาค ต้นพิกุล ต้นหมากหอม ต้นประยงค์ ต้นขมิ้น ต้นสาละ ต้นสน ต้นจำปา ต้นอโศก ต้นกากะทิง ต้นหงอนไก่ ต้นราชดัด ต้นโลทนง และต้นจันทน์
เป็นราวป่าที่สล้างไปด้วยต้นกฤษณาดำ ต้นปทุม ต้นประยงค์ ต้นเทพทาโร และต้นกล้วย ทรงไว้ซึ่งต้นรกฟ้า ต้นมวกเหล็ก ต้นปรู ต้นทราก ต้นกัณณิการ์ ต้นชะบา ต้นว่านหางช้าง ต้นทองหลาง ต้นทองกวาว ต้นคัดเค้า ต้นมะลิป่า ต้นแก้ว ต้นซึก และต้นขานางอันงามยิ่งนัก และมีไม้ดอกสำหรับร้อยเป็นพวงมาลัย ดารดาษไปด้วยดอกมะลิ ว่านเปราะหอม ต้นคนธา ต้นกำยาน ต้นแฝกหอม ต้นกระเบา และไม้กอ
เป็นภูมิประเทศอันประดับไปด้วยลดาวัลย์ดารดาษยิ่งนัก มีหมู่หงส์ นกนางนวล นกกาน้ำ และนกเป็ดน้ำ ส่งเสียงร้องกึกก้อง
เป็นที่สถิตอยู่แห่งหมู่นักสิทธิ์ วิทยาธร สมณะ และดาบส
เป็นประเทศที่ท่องเที่ยวไปแห่งหมู่มนุษย์ เทพยดา ยักษ์ รากษส ทานพ (อสูรพวกหนึ่งในนิยายเป็นศัตรูกับเทวดา
) คนธรรพ์ กินนร และพญานาค
ไพรสณฑ์ที่น่ารื่นรมย์เห็นปานนี้ มีนกดุเหว่าขาวชื่อ ปุณณมุขะ อาศัยอยู่ มีสำเนียงไพเราะยิ่งนัก มีนัยน์ตาแดงดังนัยน์ตาคนเมา
พระยานกปุณณมุขะนี้ มีนางนกดุเหว่าบำเรอ ๓๕๐ ตัว เล่ากันมาว่า นางนกดุเหว่า ๒ ตัว เอาปากคาบท่อนไม้ให้พระยานกปุณณมุขะนั้นจับตรงกลาง พาบินไป ด้วยความประสงค์ว่า พระยานกปุณณมุขะนั้นอย่าได้มีความเหน็ดเหนื่อยในหนทางไกลเลย
นางนกดุเหว่า ๕๐ ตัว บินอยู่ด้านล่าง ด้วยความประสงค์ว่า ถ้าพระยานกปุณณมุขะนี้จักพลาดจากคอน พวกเราจักเอาปีกทั้งสองรับไว้
นางนกดุเหว่าอีก ๕๐ ตัว บินอยู่ด้านบน ด้วยความประสงค์ว่า แสงแดดอย่าได้แผดเผานกดุเหว่าขาวนั้นเลย
นางนกดุเหว่าบินอยู่ทั้งสองข้าง ข้างละ ๕๐ ตัว ด้วยความประสงค์ว่า ความหนาว ความร้อน หญ้า ธุลี หรือน้ำค้าง อย่าได้ตกต้องนกดุเหว่าขาวนั้นเลย
นางนกดุเหว่าอีก ๕๐ ตัว บินขึ้นไปด้านหน้าด้วยความประสงค์ว่า คนเลี้ยงโค คนเลี้ยงปศุสัตว์ คนเกี่ยวหญ้า คนหาฟืน หรือคนทำงานในป่า อย่าได้ขว้างปานกดุเหว่าขาวนั้นด้วยท่อนไม้ กระเบื้อง ก้อนหิน ก้อนดิน ไม้ฆ้อน ศาตรา หรือก้อนกรวดเลย และนกดุเหว่าขาวนี้ อย่าได้กระทบกับกอไม้ เถาวัลย์ ต้นไม้ กิ่งไม้ เสา หิน หรือกับนกที่มีกำลังมากกว่าเลย
นางนกดุเหว่าอีก ๕๐ ตัว บินไปด้านหลัง เปล่งเสียงอันไพเราะจับใจ ด้วยความประสงค์ว่า นกดุเหว่าขาวนี้อย่าเงียบเหงาบนคอนเลย
นางนกดุเหว่าอีก ๕๐ ตัว บินไปยังทิศต่าง ๆ นำเอาผลไม้นานาชนิดจากต้นไม้ต่าง ๆ มาให้ด้วยความประสงค์ว่า นกดุเหว่านี้อย่าได้ลำบากเพราะความหิวเลย
นางนกดุเหว่าเหล่านั้น พานกดุเหว่าขาวชื่อปุณณมุขะนั้น จากป่านี้ไปสู่ป่าโน้น จากสวนนี้ไปสู่สวนโน้น จากท่าน้ำนี้ไปสู่ท่าน้ำโน้น จากยอดเขานี้ไปสู่ยอดเขาโน้น จากสวนมะม่วงนี้ไปสู่สวนมะม่วงโน้น จากสวนชมพู่นี้ไปสู่สวนชมพู่โน้น จากสวนขนุนสัมมะลอนี้ไปสู่สวนขนุนสัมมะลอโน้น จากสวนมะพร้าวนี้ไปสู่สวนมะพร้าวโน้น โดยรวดเร็ว เพื่อต้องการให้ร่าเริง
นกดุเหว่าขาวปุณณมุขะ อันนางนกดุเหว่าเหล่านั้นบำเรออยู่ทุกวัน ๆ ย่อมสรรเสริญอย่างนี้ว่า
“ดีละ ๆ น้องหญิงทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายบำรุงบำเรอสามีอย่างนี้ สมควรแก่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลธิดา”
ในกาลต่อมา นกดุเหว่าขาวปุณณมุขะได้เข้าไปหาพระยานกกุณาละถึงที่อยู่ พวกนางนกดุเหว่าบริจาริกาของพระยานกกุณาละได้เห็นพระยานกปุณณมุขะนั้นกำลังบินมาแต่ไกล จึงพากันเข้าไปหา แล้วพูดกะพระยานกปุณณมุขะนั้นว่า
“ดูกรสหายปุณณมุขะ พระยานกกุณาละนี้เป็นนกหยาบช้า มีวาจาหยาบคายเหลือเกิน แม้ไฉน พวกเราจะพึงได้วาจาอันน่ารักเพราะอาศัยท่านบ้าง”
พระยานกปุณณมุขะจึงตอบว่า
“บางทีจะได้กระมังน้องหญิงทั้งหลาย”
พระยานกปุณณมุขะเข้าไปหาพระยานกกุณาละ แล้วกล่าวว่า
“สหายกุณาละ เพราะเหตุไร ท่านจึงปฏิบัติอย่างผิด ๆ ต่อนางนกทั้งหลายผู้มีชาติเสมอกัน เป็นลูกของผู้มีสกุล ซึ่งปฏิบัติดีต่อท่านเล่า
สหายกุณาละ นางนกทั้งหลาย ถึงเขาจะพูดไม่ถูกใจ เราก็ควรจะพูดให้ถูกใจ จะป่วยกล่าวไปไยถึงนางนกที่พูดถูกใจเล่า”
เมื่อพระยานกปุณณมุขะกล่าวอย่างนี้แล้ว พระยานกกุณาละได้กล่าวว่า
“แนะสหายลามกชั่วถ่อย เจ้าจงฉิบหาย เจ้าจงพินาศ ใครจะเป็นผู้ฉลาดด้วยการชนะเมียยิ่งไปกว่าเจ้า”
พระยานกปุณณมุขะถูกว่าอย่างนี้แล้ว ก็กลับไป
ต่อมาไม่นานนัก พระยานกปุณณมุขะได้ป่วยหนัก เกิดทุกขเวทนากล้าแข็ง จวนจะตาย พวกนางนกดุเหว่าผู้เป็นบริจาริกาของพระยานกปุณณมุขะเกิดความปริวิตกว่า
“พระยานกปุณณมุขะนี้ป่วยหนักนักแล คงไม่อาจหายป่วยแล้ว”
นางนกดุเหว่าเหล่านั้นจึงละทิ้งพระยานกปุณณมุขะไว้แต่ผู้เดียว แล้วพากันเข้าไปหาพระยานกกุณาละ พระยานกกุณาละได้เห็นนางนกดุเหว่าเหล่านั้นพากันมาแต่ไกล ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะนางนกดุเหว่าเหล่านั้นว่า
“พวกอีถ่อย ผัวของเจ้าไปไหนเสียเล่า”
นางนกดุเหว่าเหล่านั้นจึงตอบว่า
“ท่านสหายกุณาละ พระยานกปุณณมุขะป่วยหนัก คงไม่อาจหายป่วยได้”
เมื่อนางนกดุเหว่าเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พระยานกกุณาละได้ด่านางนกดุเหว่าเหล่านั้นว่า
“อีถ่อยฉิบหาย อีถ่อยละลาย อีนางโจร อีนางนักเลง อีเผลอเรอ อีใจง่าย อีไม่รู้จักคุณคน อีไปตามใจเหมือนลม”
ครั้นแล้วได้เข้าไปหาพระยานกปุณณมุขะ ประคบประหงมพระยานกปุณณมุขะด้วยปีกและจะงอยปาก พอให้ลุกขึ้นได้ ให้ดื่มยาต่าง ๆ
เมื่ออาการป่วยของพระยานกปุณณมุขะสงบระงับแล้ว พระยานกกุณาละได้พาพญานกปุณณมุขะไปยังพื้นมโนศิลาข้างเขาหิมพานต์ พักอยู่ที่มโนศิลาโคนไม้รั้ง
พญานกกุณาละแสดงธรรม
เทวดาทั้งหลายได้เที่ยวป่าวร้องไปทั่วหิมพานต์ว่า พญานกกุณาละจะแสดงธรรมด้วยพุทธลีลาที่พื้นมโนศิลา
เทวดาในกามาวจรทั้ง ๖ ก็พากันมาประชุมในที่นั้นเป็นอันมาก แม้พวกนาค ยักษ์ รากษส (ผีเสื้อสมุทร) สุบรรณ วิทยาธร แร้ง และเทวดาที่อาศัยอยู่ในดง ก็ได้ป่าวร้องเนื้อความนั้นต่อ ๆ ไป
คราวนั้นพญาแร้งชื่อว่า อานนท์ มีแร้งหมื่นหนึ่งเป็นบริวาร อาศัยอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องเป็นโกลาหล ก็พาบริวารมา ด้วยความประสงค์จะฟังธรรม
นารทฤๅษีผู้สำเร็จอภิญญา ๕ มีดาบสบริษัทหมื่นหนึ่ง อยู่ในหิมวันตประเทศ ได้ยินเสียงป่าวร้อง ก็พาดาบสหมื่นหนึ่งมาด้วยฤทธิ์
โทษแห่งหญิง
ลำดับนั้น พระยานกกุณาละก็แสดงเหตุที่ตนได้เห็นมาแล้วในอดีตภพโดยชาติสรญาณ ซึ่งประกอบด้วยโทษแห่งหญิง ได้กล่าวกับพญานกปุณณมุขะดุเหว่าขาวว่า
“สหายปุณณมุขะ เราเห็นมาแล้ว นางกัณหาสองพ่อ นางมีผัว ๕ คน ยังมีจิตปฏิพัทธ์ในบุรุษคนที่ ๖ ซึ่งเป็นคนเปลี้ยเหมือนตัวกระพันธ์ ครั้งนั้น นางล่วงละเมิดสามี ๕ คน คือ พระเจ้าอัชชุนะ พระเจ้านกุละ พระเจ้าภีมเสน พระเจ้ายุธิษฐิล และพระเจ้าสหเทพ แล้วได้กระทำลามกกับบุรุษเปลี้ยแคระ
นางสมณีชื่อ ปัญจตปาวี อยู่ในท่ามกลางป่าช้า อดอาหาร ๔ วัน จึงบริโภคครั้งหนึ่ง ได้กระทำกรรมอันลามกกับนักเลงสุรา
นางเทวีนามว่า กากวดี อยู่ในท่ามกลางสมุทร เป็นภรรยาของพระยาครุฑชื่อว่า ท้าวเวนไตรย ได้กระทำกรรมอันลามกกับกุเวรผู้เจนจบในการฟ้อน
นางขนงามนามว่า กุรุงคเทวี รักใคร่ได้เสียกับเอฬกกุมาร ได้กระทำกรรมอันลามกกับฉฬังคกุมารเสนาบดี และธนันเตวาสีผู้เป็นคนใช้ของฉฬังคกุมาร
เป็นความจริง เราได้รู้มาอย่างนี้แล พระมารดาของพระเจ้าพรหมทัตต์ทรงทอดทิ้งพระเจ้าโกศลราช ได้ทรงกระทำกรรมอันลามกกับพราหมณ์ชื่อ ปัญจาลจัณฑะ
หญิง ๕ คน นี้ก็ดี หญิงอื่นก็ดี ได้กระทำมาแล้วซึ่งกรรมอันลามก เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่วิสาสะ ไม่สรรเสริญหญิงทั้งหลาย
มหาปฐพีอันทรงไว้ซึ่งสรรพสัตว์ ย่อมเสมอกัน เป็นที่รับรองสิ่งดีและสิ่งชั่ว ทนทานได้หมด ไม่ดิ้นรน ไม่หวั่นไหว ฉันใด หญิงทั้งหลายก็เหมือนกัน นรชนจึงไม่ควรวิสาสะกับหญิงเหล่านี้
ราชสีห์ซึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย กินเนื้อและเลือดเป็นอาหาร มีอาวุธ ๕ อย่าง เป็นสัตว์หยาบช้า ยินดีในการเบียดเบียนสัตว์อื่น ข่มขี่สัตว์ทั้งหลายกิน ฉันใด หญิงทั้งหลายก็ฉันนั้น นรชนจึงไม่ควรวิสาสะกับหญิงเหล่านั้น
หญิงทั้งหลายไม่ใช่แพศยา ไม่ใช่นางงาม ไม่ใช่หญิงสัญจร ชื่อทั้ง ๓ นี้ ไม่ใช่ชื่อโดยกำเนิด ชื่อโดยกำเนิดว่าแพศยา ว่านางงาม ว่าหญิงสัญจร ก็คือ เป็นผู้ฆ่า
หญิงทั้งหลายมุ่นมวยผมเหมือนพวกโจร ประทุษร้ายเป็นพิษเหมือนสุราเจือยาพิษ พูดโอ้อวดเหมือนคนขายของ ตลบตะแลงพลิกแพลงเหมือนนอแรด สองลิ้นเหมือนงู ปกปิดเหมือนหลุมคูถที่ปิดด้วยกระดาน ให้เต็มได้ยากเหมือนไฟ ให้ยินดีได้ยากเหมือนรากษส นำไปโดยส่วนเดียวเหมือนพระยายม กินทุกอย่างเหมือนไฟ พัดพาไปทุกอย่างเหมือนแม่น้ำ ประพฤติตามปรารถนาเหมือนลม ไม่ทำอะไรให้วิเศษเหมือนเขาเมรุมาศ ผลิตผลเป็นนิตย์เหมือนต้นไม้มีพิษ
หญิงทั้งหลายเป็นผู้กำสัตว์ไว้ในมือจนนับไม่ถ้วน ทำโภคสมบัติในเรือนให้พินาศ
ดูกรปุณณมุขะ ทรัพย์ ๔ อย่างนี้ คือ โคผู้ โคนม ยาน ภรรยา ไม่ควรให้อยู่ในสกุลอื่น บัณฑิตไม่พึงรักษาทรัพย์ ๔ อย่างนี้ให้อยู่พลาดจากเรือน
คนฉลาดย่อมไม่ฝากทรัพย์ ๔ อย่างนี้ คือ โคผู้ ๑ โคนม ๑ ยานพาหนะ ๑ ภรรยา ๑ ไว้ในตระกูลญาติ เพราะว่าคนที่ไม่มียานพาหนะ ย่อมใช้รถที่ฝากไว้ ย่อมฆ่าโคผู้เสีย เพราะใช้ลากเข็นเกินกำลัง ย่อมฆ่าลูกโคเพราะรีดนม ภรรยาย่อมประทุษร้ายในตระกูลญาติ
สหายปุณณมุขะ สิ่งของ ๖ อย่างนี้ เมื่อกิจธุระเกิดขึ้น ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ คือ ธนูไม่มีสาย ๑ ภรรยาอยู่ในตระกูลญาติ ๑ เรือที่ฝั่งโน้น ๑ ยานพาหนะที่เพลาหัก ๑ มิตรอยู่ไกล ๑ สหายลามก ๑
เหตุ ๘ ประการให้หญิงดูหมิ่นสามี
สหายปุณณมุขะ หญิงย่อมดูหมิ่นสามีเพราะเหตุ ๘ ประการ คือ
เพราะสามีเป็นคนจน ๑
เพราะสามีเจ็บกระเสาะกระแสะ ๑
เพราะสามีเป็นคนแก่ ๑
เพราะสามีเป็นนักเลงสุรา ๑
เพราะสามีเป็นคนโง่ ๑
เพราะสามีเป็นคนมัวเมา ๑
เพราะคล้อยตามในกิจทุกอย่าง ๑ เ
พราะไม่ก่อให้ทรัพย์ทุกอย่างเกิดขึ้น ๑
หญิงประทุษร้ายสามีด้วยเหตุ ๙ ประการ
สหายปุณณมุขะ หญิงย่อมนำความประทุษร้ายมาให้สามีด้วยเหตุ ๙ ประการ คือ
หญิงเป็นคนมักไปป่า ๑
มักไปสวน ๑
มักไปท่าน้ำ ๑
มักไปหาตระกูลญาติ ๑
มักไปหาตระกูลอื่น ๑
มักชอบใช้กระจกและชอบประดับประดา ๑
มักดื่มน้ำเมา ๑
มักเยี่ยมมองหน้าต่าง ๑
มักยืนแอบประตู ๑
หญิงยั่วยวนชายด้วยเหตุ ๔๐ ประการ
สหายปุณณมุขะ หญิงย่อมยั่วยวนชายด้วยเหตุ ๔๐ ประการ คือ ดัดกาย ก้มตัว กรีดกราย ทำอาย แกะเล็บ เอาเท้าเหยียบกัน เอาไม้ขีดแผ่นดิน ทำกระโดดเอง ให้เด็กกระโดดเล่นเอง ให้เด็กเล่น จุมพิตเด็ก ให้เด็กจุมพิต กินเอง ให้เด็กกิน ให้ของแก่เด็ก ขอของจากเด็ก ทำตามที่เด็กกระทำ พูดเสียงสูง พูดเสียงต่ำ พูดเปิดเผย พูดกระซิบ ทำซิกซี้ด้วยการฟ้อน การขับ การประโคม ร้องไห้ กรีดกราย ด้วยการแต่งกายทำปึ่ง ยักเอว ส่ายผ้าที่ปิดของลับ เลิกขา ปิดขา ให้เห็นนม ให้เห็นรักแร้ ให้เห็นท้องน้อย หลิ่วตา เลิกคิ้ว เม้มปาก แลบลิ้น ขยายผ้า กลับนุ่งผ้า สยายผม มุ่นผม
หญิงประทุษร้ายสามีด้วยเหตุ ๒๕ ประการ
สหายปุณณมุขะ พึงทราบเถิดว่า หญิงเป็นคนประทุษร้ายสามีด้วยเหตุ ๒๕ ประการ คือ
ย่อมสรรเสริญการจากไปของสามี
ย่อมไม่ระลึกถึงสามีที่จากไป
ย่อมไม่ยินดีกะสามีที่กลับมา
ย่อมกล่าวโทษสามี ไม่กล่าวคุณแห่งสามี
ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สามี
ย่อมไม่ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สามี
ย่อมกระทำกิจที่ไม่สมควรแก่สามี
ย่อมไม่กระทำกิจที่สมควรแก่สามี
ย่อมนอนคลุมโปง นอนหันหลังให้
ย่อมนอนพลิกไปพลิกมา
ย่อมนอนถอนหายใจยาว
ย่อมนอนกระสับกระส่าย เป็นทุกข์
ย่อมไปอุจจาระปัสสาวะบ่อย ๆ
ย่อมประพฤติตรงกันข้าม
ได้ยินเสียงชายอื่นย่อมเงี่ยหูฟัง
ย่อมล้างผลาญทรัพย์สมบัติ
ย่อมทำความสนิทสนมกับชายบ้านใกล้เรือนเคียง
ย่อมออกนอกบ้านเสมอ
ชอบเที่ยวตามตรอกซอกซอย
ย่อมประพฤตินอกใจไม่เคารพในสามี
มีใจประทุษร้าย
ย่อมยืนอยู่ที่ประตูเนือง ๆ
ย่อมเปิดรักแร้และนมให้ดู
ย่อมเที่ยวสอดส่องเพ่งมองไปยังทิศต่าง ๆ
อาการเหล่านี้ เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้าย
ไม่ควรไว้ใจหญิง
แม่น้ำทั้งปวงมีทางคดเคี้ยว และป่าทั้งปวงรกด้วยต้นไม้ ฉันใด หญิงทั้งปวงเมื่อได้ช่อง พึงกระทำกรรมอันลามก ฉันนั้น ถ้าว่าพึงได้โอกาสที่ลับหรือพึงได้ช่องเช่นนั้น หญิงทั้งปวงพึงกระทำกรรมอันลามกเป็นแน่ ไม่ได้ชายที่สมบูรณ์อื่น ก็ย่อมทำกับคนเปลี้ย
ในพวกนารีที่หลายใจ เป็นผู้กระทำความยั่วยวนแก่ชายทั้งหลาย ไม่มีใครข่มขี่ได้ ถ้านารีเหล่าใด แม้จะทำให้พอใจโดยประการทั้งปวง ก็ไม่ควรวางใจในนารีเหล่านั้น เพราะว่านารีเหล่านั้นเสมอด้วยท่าน้ำ
บัณฑิตได้เห็นเรื่องอย่างไรของพระเจ้ากินนรและพระนางกินนรีเทวีแล้ว พึงรู้เถิดว่า หญิงทั้งปวงย่อมไม่ยินดีในเรือนของตน พระนางกินนรีเทวีทรงเห็นบุรุษอื่น แม้จะเป็นคนง่อยเปลี้ย ยังละทิ้งพระราชสวามีเช่นพระเจ้ากินนร ไปทำกรรมอันลามกกับบุรุษเปลี้ยนั้นได้
พระเจ้าพกะและพระเจ้าพาวรีย์ทรงหมกมุ่นอยู่ในกามเกิน ส่วนพระมเหสียังประพฤติอนาจารกับคนรับใช้ใกล้ชิด ซ้ำตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาชายคนอื่น ใครหรือที่หญิงจะไม่พึงประพฤตินอกใจด้วย
พระนางปิงคิยานี พระนางมเหสีที่รักของพระเจ้าพรหมทัต ผู้เป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง ได้ประพฤติอนาจารกับคนเลี้ยงม้าผู้ใกล้ชิด ผู้ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนา พระนางปิงคิยานีผู้ใคร่กามนั้น ไม่ได้ประสบความใคร่ทั้งสองราย
บุรุษผู้ไม่ถูกผีสิง ไม่ควรเชื่อหญิงทั้งหลายผู้หยาบช้า ใจเบา อกตัญญู ประทุษร้ายมิตร หญิงเหล่านั้นไม่รู้จักสิ่งที่กระทำแล้ว สิ่งที่ควรกระทำ ไม่รู้จักมารดาบิดาหรือพี่น้อง ไม่มีละอาย ล่วงเสียซึ่งธรรม ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิตของตน เมื่อมีอันตรายและเมื่อกิจเกิดขึ้น ย่อมละทิ้งสามี แม้จะอยู่ด้วยกันมานาน เป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่อนุเคราะห์ แม้เสมอกับชีวิต
เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่วิสาสะกับหญิงทั้งหลาย จริงอยู่ จิตของหญิงเหมือนจิตของวานร ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนเงาไม้ หัวใจของหญิงไหวไปไหวมาเหมือนล้อรถที่กำลังหมุน
เมื่อใด หญิงทั้งหลายผู้มุ่งหวัง เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรจะถือเอาได้ เมื่อนั้น ก็ใช้วาจาอ่อนหวานชักนำบุรุษไปได้ เหมือนชาวกัมโพชลวงม้าด้วยสาหร่าย
เมื่อใด หญิงทั้งหลายผู้มุ่งหวัง ไม่เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรถือเอาได้ เมื่อนั้น ย่อมละทิ้งบุรุษนั้นไป เหมือนคนข้ามฟากถึงฝั่งโน้นแล้ว ละทิ้งแพไป
หญิงทั้งหลายเปรียบด้วยเครื่องผูกรัด กินทุกอย่างเหมือนเปลวไฟ มีมายากล้าแข็ง เหมือนแม่น้ำมีกระแสเชี่ยว ย่อมคบบุรุษได้ทั้งที่น่ารัก ทั้งที่ไม่น่ารัก เหมือนเรือจอดไม่เลือกฝั่งนี้ฝั่งโน้น
หญิงทั้งหลายไม่ใช่ของบุรุษคนเดียวหรือสองคน ย่อมรับรองทั่วไปเหมือนร้านตลาด ผู้ใดสำคัญมั่นหมายหญิงเหล่านั้นว่าของเรา ก็เท่ากับดักลมด้วยตาข่าย
แม่น้ำ หนทาง ร้านเหล้า สภา และบ่อน้ำ ฉันใด หญิงในโลกก็ฉันนั้น เขตแดนของหญิงเหล่านั้นไม่มี
หญิงทั้งหลายเสมอด้วยไฟกินเปรียง เปรียบด้วยงูเห่า ย่อมเลือกคบแต่บุรุษที่มีทรัพย์ เหมือนโคเลือกกินหญ้าที่ดี ๆ ในภายนอก
ไฟกินเปรียง ๑ ช้างสาร ๑ งูเห่า ๑ พระราชาผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว ๑ หญิงทั้งปวง ๑ สิ่งทั้ง ๕ นี้ นรชนพึงคบด้วยความระวังเป็นนิตย์ เพราะสิ่งทั้ง ๕ นี้ มีความแน่นอนที่รู้ได้ยากแท้
หญิงที่งามเกินไป ๑ หญิงที่คนหมู่มากไม่รักใคร่ ๑ หญิงผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง ๑ หญิงที่เป็นภรรยาคนอื่น ๑ หญิงที่คบหาด้วยเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ๑ หญิง ๕ จำพวกนี้ ไม่ควรคบ”
พญาแร้งชื่อ อานนท์ แสดงธรรม
ในครั้งนั้น พญาแร้งชื่อ อานนท์ รู้แจ้งซึ่งคาถาทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดของพญานกกุณาละแล้ว ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า
“ถ้าบุรุษจะพึงให้แผ่นดินอันเต็มด้วยทรัพย์นี้แก่หญิงที่ตนนับถือไซร้ หญิงนั้นได้โอกาสก็จะพึงดูหมิ่นบุรุษนั้น เราจึงไม่ยอมตกอยู่ในอำนาจของพวกหญิงเผลอเรอ
เมื่อมีอันตรายและเมื่อกิจธุระเกิดขึ้น หญิงย่อมละทิ้งผัวหนุ่มผู้หมั่นขยัน มีความประพฤติไม่เหลาะแหละ เป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่วิสาสะกับหญิงทั้งหลาย
บุรุษไม่ควรวางใจว่า หญิงคนนี้ปรารถนาเรา ไม่ควรวางใจว่า หญิงคนนี้ร้องไห้กระซิกกระซี้เรา เพราะว่า หญิงทั้งหลายย่อมคบได้ทั้งบุรุษที่น่ารัก ทั้งบุรุษที่ไม่น่ารัก เหมือนเรือจอดได้ทั้งฝั่งโน้นฝั่งนี้
บุรุษไม่ควรวิสาสะกะเครื่องลาดที่ทำด้วยกิ่งไม้เก่า ไม่ควรวิสาสะกะมิตรเก่าที่เป็นโจร ไม่ควรวิสาสะกะพระราชาว่าเป็นเพื่อนของเรา ไม่ควรวิสาสะกะหญิงแม้จะมีลูก ๑๐ คน แล้ว
ไม่ควรวิสาสะในหญิงที่กระทำความยินดีให้ เป็นผู้ล่วงศีล ไม่สำรวม ถึงแม้ภรรยาจะพึงเป็นผู้มีความรักแน่นแฟ้น ก็ไม่ควรวางใจ เพราะว่าหญิงทั้งหลายเสมอกับท่าน้ำ
หญิงทั้งหลายพึงฆ่าชายก็ได้ พึงตัดเองก็ได้ พึงใช้ให้ผู้อื่นตัดก็ได้ พึงตัดคอแล้วดื่มเลือดกินก็ได้ อย่าพึงกระทำความสิเนหาในหญิงผู้มีความรักใคร่อันเลวทราม ผู้ไม่สำรวม ผู้เปรียบเทียบด้วยท่าน้ำ
คำเท็จของหญิงเหมือนคำจริง คำจริงของหญิงเหมือนคำเท็จ หญิงทั้งหลายย่อมเลือกคบแต่ชายที่มีทรัพย์ ดั่งโคเลือกกินหญ้าที่ดี ๆ ในภายนอก
หญิงทั้งหลายย่อมประเล้าประโลมชายด้วยการเดิน การจ้องดู ยิ้มแย้ม นุ่งผ้าหลุด ๆ ลุ่ย ๆ และพูดเพราะ
หญิงทั้งหลายเป็นโจร หัวใจแข็ง ดุร้าย เป็นน้ำตาลกรวด ย่อมไม่รู้อะไร ๆ ว่าเป็นเครื่องล่อลวงในมนุษย์ธรรมดา
หญิงในโลกเป็นคนลามก ไม่มีเขตแดน กำหนัดนักทุกเมื่อ และคะนอง กินไม่ควร เหมือนเปลวไฟไหม้เชื้อทุกอย่าง
บุรุษชื่อว่าเป็นที่รักของหญิงไม่มี ไม่เป็นที่รักก็ไม่มี เพราะหญิงทั้งหลายย่อมคบบุรุษได้ทั้งที่รักทั้งที่ไม่รัก เหมือนเรือจอดได้ทั้งฝั่งนี้และฝั่งโน้น
บุรุษชื่อว่าเป็นที่รักของหญิงไม่มี ไม่เป็นที่รักก็ไม่มี หญิงย่อมผูกพันชายเพราะต้องการทรัพย์เหมือนเถาวัลย์พันไม้
หญิงทั้งหลายย่อมติดตามชายที่มีทรัพย์ ถึงจะเป็นคนเลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า เลี้ยงโค คนจัณฑาล สัปเหร่อ คนเทหยากเยื่อก็ช่าง
หญิงทั้งหลายย่อมละทิ้งชายผู้มีตระกูลแต่ไม่มีอะไรเหมือนทิ้งซากศพ แต่ติดตามชายเช่นนั้นได้เพราะเหตุแห่งทรัพย์”
พราหมณ์ชื่อ นารทะ แสดงธรรม
ในครั้งนั้น พราหมณ์ผู้ประเสริฐชื่อ นารทะ รู้ชัดซึ่งคาถาทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดของพญาแร้งอานนท์แล้ว ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า
“ดูกรพญานก ท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้ากล่าว
มหาสมุทร ๑ พราหมณ์ ๑ พระราชา ๑ หญิง ๑ สี่อย่างนี้ ย่อมไม่เต็ม
แม่น้ำสายใดสายหนึ่งอาศัยแผ่นดิน ไหลไปสู่มหาสมุทร แม่น้ำเหล่านั้นก็ยังมหาสมุทรให้เต็มไม่ได้ เพราะฉะนั้นมหาสมุทรชื่อว่าไม่เต็ม เพราะยังพร่อง
ส่วนพราหมณ์สาธยายพระเวทมีประวัติศาสตร์เป็นที่ ๕ ได้แล้ว ยังปรารถนาการเรียนยิ่งขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น พราหมณ์จึงชื่อว่าไม่เต็ม เพราะยังพร่อง
พระราชาทรงชนะแผ่นดินทั้งหมด อันบริบูรณ์ด้วยรัตนะนับไม่ถ้วน พร้อมทั้งมหาสมุทรและภูเขา ครอบครองอยู่ ก็ยังปรารถนามหาสมุทรฝั่งโน้นอีก เพราะฉะนั้น พระราชาจึงชื่อว่าไม่เต็ม เพราะยังพร่อง
หญิงคนหนึ่ง ๆ มีสามีคนละ ๘ คน สามีล้วนเป็นคนแกล้วกล้า มีกำลัง สามารถนำมาซึ่งกามรสทุกอย่าง หญิงยังกระทำความพอใจในชายคนที่ ๙ อีก เพราะฉะนั้น หญิงจึงชื่อว่าไม่เต็ม เพราะยังพร่อง
หญิงทุกคนกินทุกอย่างเหมือนเปลวไฟ พาไปได้ทุกอย่างเหมือนแม่น้ำ เหมือนกิ่งไม้มีหนาม ย่อมละชายไปเพราะเหตุแห่งทรัพย์
ชายใดพึงวางความรักทั้งหมดในหญิง ชายนั้นเหมือนดักลมด้วยตาข่าย เหมือนตักน้ำใส่มหาสมุทรด้วยมือข้างเดียว จะพึงได้ยินแต่เสียงมือของตน
ภาวะของหญิงที่เป็นโจร รู้มาก หาความจริงได้ยาก เป็นอาการที่ใคร ๆ รู้ได้ยาก เหมือนรอยทางปลาในน้ำ
หญิงไม่มีความพอ อ่อนโยน พูดเพราะ ให้เต็มได้ยาก เสมอแม่น้ำ ทำให้ล่มจม บุคคลรู้ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล
หญิงเป็นเหมือนน้ำวน มีมายามาก ทำพรหมจรรย์ให้กำเริบ ทำให้ล่มจม บุคคลรู้ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล
เมื่อหญิงคบบุรุษใด เพราะความพอใจ หรือเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ย่อมเผาบุรุษนั้นโดยพลัน เหมือนไฟป่าเผาสถานที่เกิดของตน”
ในครั้งนั้น พญานกกุณาละรู้แจ้งแล้วซึ่งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดแห่งคาถาของนารทพราหมณ์ผู้ประเสริฐ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า
“บัณฑิตพึงเจรจากับบุรุษผู้ถือดาบอย่างคมกล้า พึงเจรจากับปีศาจผู้ดุร้าย แม้จะพึงเข้าไปนั่งใกล้งูพิษร้าย แต่ไม่ควรเจรจากับหญิงตัวต่อตัว เพราะว่าหญิงเป็นผู้ย่ำยีจิตของโลก ถืออาวุธคือ การฟ้อนรำ ขับร้องและการเจรจา ย่อมเบียดเบียนบุรุษผู้ไม่ตั้งสติไว้ เหมือนหมู่รากษสบนเกาะเบียดเบียนพวกพ่อค้า
หญิงไม่มีวินัย ไม่มีสังวร ยินดีในน้ำเมาและเนื้อสัตว์ ไม่สำรวม ผลาญทรัพย์ที่บุรุษหามาได้โดยยากให้ฉิบหาย เหมือนปลาติมิงคละกลืนกินมังกรในทะเล
หญิงมีกามคุณ ๕ อันน่ายินดีเป็นทำเลหากิน เป็นคนหยิ่ง จิตไม่เที่ยงตรง ไม่สำรวม ย่อมเข้าไปหาชายผู้ประมาท เหมือนแม่น้ำทั้งหลายอันไหลไปสู่มหาสมุทร
หญิงได้ชื่อว่าฆ่าชายด้วยราคะและโทสะ เข้าไปหาชายคนใดเพราะความพอใจ เพราะความกำหนัด หรือเพราะต้องการทรัพย์ ย่อมเผาชายเช่นนั้นเสียเช่นดังเปลวไฟ
หญิงรู้ว่าชายมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก ย่อมเข้าไปหาชาย ย่อมให้ทั้งทรัพย์และตนเอง ย่อมเกาะชายที่มีจิตถูกราคะย้อม เหมือนเถาย่านทรายเกาะไม้สาละในป่า
หญิงประดับร่างกายหน้าตาให้สวย เข้าไปหาชายด้วยความพอใจมีประการต่าง ๆ ทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ใช้มารยาตั้งร้อย เหมือนดังคนเล่นกลและอสุรินทรราหู
หญิงประดับประดาด้วยทอง แก้วมณีและมุกดา ถึงจะมีคนสักการะและรักษาไว้ในตระกูลสามี ก็ยังประพฤตินอกใจสามี ดังหญิงที่อยู่ในทรวงอกประพฤตินอกใจทานพ
จริงอยู่ นรชนผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา แม้จะมีเดช มีมหาชนสักการะบูชา ถ้าตกอยู่ในอำนาจของหญิงแล้ว ย่อมไม่รุ่งเรือง เหมือนพระจันทร์ถูกราหูจับ
โจรผู้มีจิตโกรธ คิดประทุษร้าย พึงกระทำแก่โจรอื่นซึ่งเป็นข้าศึกที่มาประจัญหน้า ส่วนผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง ไม่มีอุเบกขา ย่อมเข้าถึงความพินาศยิ่งกว่านั้นอีก
หญิงถึงจะถูกชายฉุดกระชากลากผม และหยิกข่วนด้วยเล็บ คุกคามทุบตีด้วยเท้า ด้วยมือและท่อนไม้ ก็กลับวิ่งเข้าหา เหมือนหมู่แมลงวันที่ซากศพ
บุรุษผู้มีจักษุ คือ ปัญญา ปรารถนาความสุขแก่ตน พึงเว้นหญิงเสีย เหมือนกับบ่วงและข่ายที่ดักไว้ในสกุล
ในถนนสายหนึ่ง ในราชธานี หรือในนิคม ผู้ใดสละเสียแล้วซึ่งตบะคุณอันเป็นกุศล ประพฤติจริตอันมิใช่ของพระอริยะ ผู้นั้นต้องกลับจากเทวโลกไปคลุกเคล้าอยู่กับนรก เหมือนพ่อค้าซื้อหม้อแตก
บุรุษผู้ตกอยู่ในอำนาจของหญิงย่อมถูกติเตียนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า กรรมของตนกระทบแล้ว เป็นคนโง่เขลา ย่อมไปพลั้ง ๆ พลาด ๆ โดยไม่แน่นอน เหมือนรถที่เทียมด้วยลาโกงย่อมไปผิดทาง
ผู้ตกอยู่ในอำนาจของหญิง ย่อมเข้าถึงนรก เป็นที่เผาสัตว์ให้รุ่มร้อน และนรกอันมีป่าไม้งิ้ว มีหนามแหลมดังหอกเหล็ก แล้วมาในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ย่อมไม่พ้นจากวิสัยเปรตและอสุรกาย
หญิงย่อมทำลายความเล่นหัว ความยินดี ความเพลิดเพลินอันเป็นทิพย์ และจักรพรรดิสมบัติในมนุษย์ของชายผู้ประมาท ให้พินาศ และยังทำชายนั้นให้ถึงทุคติอีกด้วย
ชายเหล่าใดไม่ต้องการหญิง ประพฤติพรหมจรรย์ ชายเหล่านั้นพึงได้การเล่นหัว ความยินดีอันเป็นทิพย์ จักรพรรดิสมบัติในมนุษย์ และนางเทพอัปสรอันอยู่ในวิมานทองโดยไม่ยากเลย
ชายเหล่าใดไม่ต้องการหญิง ประพฤติพรหมจรรย์ ชายเหล่านั้นพึงได้คติที่ก้าวล่วงเสียซึ่งกามธาตุ รูปธาตุ สมภพ และคติที่เข้าถึงวิสัยความปราศจากราคะ โดยไม่ยากเลย
ชายเหล่าใดไม่ต้องการหญิง ประพฤติพรหมจรรย์ ชายเหล่านั้นเป็นผู้ดับแล้ว สะอาด พึงได้นิพพานอันเกษม อันก้าวล่วงเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง ล่วงส่วน ไม่หวั่นไหว ไม่มีอะไรปรุงแต่ง โดยไม่ยากเลย”
ทรงประชุมชาดก
เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าถึงกุณาลชาดกแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
“พญานกกุณาละในครั้งนั้นเป็นเราตถาคต พญานกดุเหว่าขาวเป็นพระอุทายี พญาแร้งเป็นพระอานนท์ นารทฤาษีเป็นพระสารีบุตร บริษัททั้งหลายเป็นพุทธบริษัท เธอทั้งหลายจงทรงจำกุณาลชาดกไว้อย่างนี้แล
อ้างอิง : กุณาลชาดก พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๘ ข้อที่ ๒๙๖-๓๑๔ หน้า ๗๕-๘๘