พระพุทธรูปบริเวณทางเข้าชมพระพุทธเมตตา
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
“สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตน ๆ ถือมั่นทิฐิ แล้วปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่าง ๆ กันว่า ผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่นทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด
วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้ วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
“หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนพาล เป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ
ก็หากว่า ชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฐิของตน ๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์ เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น ก็จะไม่มีใคร ๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้เหล่านั้น ล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้
อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชนเหล่านั้นได้กระทำความเห็นของตน ๆ ว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้นจึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา”
“สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้ แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่น (ความจริงต่าง ๆ กัน) ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ก็วิวาทกัน
เพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้”
“สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมา ทราบชัดอยู่ จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า
สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลายจึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้”
“เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่าง ๆ กัน จะเป็นอันใคร ๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน”
“สัจจะมากหลายต่าง ๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายกำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลายของตนแล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริง ๆ เท็จ ๆ
ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว ร่าเริงอยู่ กล่าวว่าผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด
บุคคลเจ้าทิฐิ ย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่น กล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาดด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้น เต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่ง และมัวเมาเพราะมานะ มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้นของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น
ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน
อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็นผู้เขลา
ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไป ชนเหล่านั้นผิดพลาด และไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจด เดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตน
เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือ ทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลายโดยมากเชื่อมั่นด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลายรับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น
อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตน จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่า เดียรถีย์นั้นเมื่อกล่าวผู้อื่นว่า เป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียว
เดียรถีย์นั้นตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิตศาสดา เป็นต้น ขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป
บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลก ฉะนี้แล”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอด คือ พระอรหัต ด้วยประการฉะนี้
อ้างอิง : จูฬวิยูหสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๔๑๙ หน้า ๓๗๖-๓๗๙