โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปยังวัดโฆสิตาราม ครั้นแล้ว นั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ ท่านพระฉันนะเข้าไปหาท่านพระอานนท์ อภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะท่านพระฉันนะว่า
"ท่านฉันนะ สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่ท่านแล้ว"
"ท่านพระอานนท์ ก็พรหมทัณฑ์เป็นอย่างไร"
"ท่านฉันนะ ท่านปรารถนาจะพูดคำใด พึงพูดคำนั้น ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงตักเตือน ไม่พึงพร่ำสอนท่าน"
"ท่านพระอานนท์ ด้วยเหตุเพียงที่ภิกษุทั้งหลายไม่ว่ากล่าว ไม่ตักเตือน ไม่พร่ำสอนข้าพเจ้านี้ เป็นอันสงฆ์กำจัดข้าพเจ้าแล้วมิใช่หรือ" แล้วสลบล้มลง ณ ที่นั้นเอง
พระฉันนะสำเร็จอรหันต์
ต่อมา ท่านพระฉันนะอึดอัด ระอา รังเกียจอยู่ด้วยพรหมทัณฑ์ จึงหลีกออกอยู่แต่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ได้ทำให้แจ้งซึ่งคุณพิเศษอันยอดเยี่ยม เป็นที่สุดพรหมจรรย์ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชโดยชอบต้องประสงค์ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่แล้ว ได้รู้ชัดแล้วว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี
ก็แล ท่านพระฉันนะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย
ครั้นท่านพระฉันนะบรรลุพระอรหัตแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วกล่าวว่า
"ท่านพระอานนท์ ขอท่านจงระงับพรหมทัณฑ์แก่ผมในบัดนี้เถิด"
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า
"ท่านฉันนะ เมื่อใดท่านทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตแล้ว เมื่อนั้น พรหมทัณฑ์ของท่านก็ระงับแล้ว"
ก็ในการสังคายนาพระวินัยนี้มีภิกษุ ๕๐๐ รูป ไม่หย่อนไม่เกิน เพราะฉะนั้น การสังคายนาพระวินัยครั้งนี้ บัณฑิตจึงเรียกว่า แจง ๕๐๐ ดังนี้แล
อ้างอิง : พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๗ ข้อที่ ๖๒๗-๖๒๘ หน้า ๒๕๖-๒๕๗