21-04 โพธิราชกุมาร



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเภสกฬาวัน ทรงปรารภโพธิราชกุมาร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า

โพธิราชกุมารสร้างปราสาทแล้วคิดฆ่านายช่าง

โพธิราชกุมาร รับสั่งให้สร้างปราสาทชื่อโกกนุท มีรูปทรงไม่เหมือนปราสาทอื่น ๆ บนพื้นแผ่นดิน ปานดังลอยอยู่ในอากาศ แล้วตรัสถามนายช่างว่า

“ปราสาทที่มีรูปทรงอย่างนี้เธอเคยสร้างในที่อื่นหรือไม่ หรือว่านี้เป็นศิลปะครั้งแรกของเธอ”

นายช่างทูลว่า

“ข้าแต่สมมติเทพ นี้เป็นศิลปะครั้งแรกทีเดียว”

ท้าวเธอทรงดำริว่า

“ถ้านายช่างผู้นี้จักสร้างปราสาทมีรูปทรงอย่างนี้แก่คนอื่นไซร้ ปราสาทนี้ก็จักไม่น่าอัศจรรย์ การที่เราฆ่านายช่างนี้ ตัดมือและเท้าของเขา หรือควักนัยน์ตาทั้งสองเสีย ย่อมควร เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะสร้างปราสาทให้แก่คนอื่นไม่ได้”

ท้าวเธอตรัสบอกความนั้นแก่มาณพน้อยบุตรของสัญชีวก ผู้เป็นสหายรักของตน

นายช่างทำนกครุฑขี่หนีภัย

มาณพน้อยนั้นคิดว่า

“พระราชกุมารพระองค์นี้จักผลาญนายช่างให้ฉิบหายอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้มีศิลปะเป็นผู้หาค่ามิได้ เมื่อเรายังอยู่ เขาจงอย่าฉิบหายเลย เราจักบอกให้เขารู้ตัว”

มาณพน้อยนั้นเข้าไปหาเขา แล้วถามว่า

“งานก่อสร้างปราสาทของท่านสำเร็จแล้วหรือยัง”

นายช่างตอบว่า

“สำเร็จแล้ว”

“พระราชกุมารมีพระประสงค์จะผลาญชีวิตท่าน เพราะฉะนั้น ท่านพึงรักษาตนให้ดี”

“ท่านบอกความนั้นแก่ข้าพเจ้า ท่านทำถูกแล้ว ข้าพเจ้าจักทราบกิจที่ควรทำในเรื่องนี้"

โพธิราชกุมารตรัสถามว่า

“งานก่อสร้างปราสาทสำเร็จแล้วหรือ”

นายช่างจึงทูลว่า

“ข้าแต่สมมติเทพ งานก่อนสร้างยังไม่สำเร็จ ยังเหลืออีกมาก”

“ยังเหลืองานอะไร”

“ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะทูลให้ทรงทราบภายหลัง ขอพระองค์จงตรัสสั่งให้คนขนไม้มาก่อนเถิด”

“เธอต้องการไม้ชนิดใดเล่า”

“ไม้แห้งไม่มีแก่น พระเจ้าข้า”

ท้าวเธอได้รับสั่งให้ขนไม้นั้นมาแล้ว

ลำดับนั้น นายช่างทูลพระราชกุมารนั้นว่า

“ข้าแต่สมมติเทพ ตั้งแต่นี้ไป พระองค์ไม่พึงเสด็จมาหาข้าพระองค์ เพราะเมื่อข้าพระองค์ทำงานที่ละเอียดอยู่ การสนทนาจะทำให้ข้าพระองค์ฟุ้งซ่าน ขอให้ภรรยาของข้าพระองค์เท่านั้นเป็นผู้นำอาหารเข้ามา”

พระราชกุมารทรงรับคำแล้ว

ฝ่ายนายช่างนั่งถากไม้เหล่านั้นอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง ทำเป็นนกครุฑที่บุตรภรรยาของตนสามารถนั่งภายในได้ ในเวลารับประทานอาหาร สั่งภรรยาว่า

“เธอจงขายของทุกสิ่งอันมีอยู่ในเรือน รับเอาเงินและทองไว้”

นายช่างพาครอบครัวหนี

ฝ่ายพระราชกุมารรับสั่งให้ล้อมปราสาทไว้ ทรงจัดตั้งการรักษาเพื่อไม่ให้นายช่างออกไปได้ เมื่อนายช่างสร้างนกสำเร็จ ได้สั่งภรรยาว่า

“วันนี้ หล่อนจงพาลูก ๆ ของเราทั้งหมดมา”

เมื่อพวกเขารับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาให้บุตรและภรรยานั่งในท้องนก แล้วบินออกทางหน้าต่าง หลบหนีไป

พวกอารักขาเหล่านั้นพิไรรำพันทูลว่า

“ขอเดชะสมมติเทพ นายช่างหลบหนีไปได้”

นายช่างและครอบครัวได้ไปบินลงที่หิมวันตประเทศ ได้สร้างนครขึ้นนครหนึ่ง ได้เป็นพระราชาทรงพระนามว่า กัฏฐวาหนะ ในนครนั้น

พระศาสดาไม่ทรงเหยียบผ้าที่ลาดไว้

ฝ่ายพระราชกุมารทรงดำริว่า

“เราจะทำการฉลองปราสาท”

จึงตรัสสั่งให้นิมนต์พระศาสดา ทรงทำการประพรมในปราสาทด้วยของหอมที่ผสมกัน ๔ อย่าง ทรงลาดแผ่นผ้าน้อยตั้งแต่ธรณีแรก

ท้าวเธอไม่มีพระโอรส เพราะฉะนั้น จึงทรงดำริว่า

“ถ้าเราจักได้บุตรหรือธิดาไซร้ พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยนี้”

แล้วจึงทรงลาดแผ่นผ้า เมื่อพระศาสดาเสด็จมา ท้าวเธอถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ รับบาตร แล้วกราบทูลว่า

“ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

พระศาสดาไม่เสด็จเข้าไป ท้าวเธอทรงอ้อนวอนถึง ๒-๓ ครั้ง

พระศาสดาก็ยังไม่เสด็จเข้าไป ทรงแลดูพระอานนท์

พระเถระทราบความที่ไม่ประสงค์จะทรงเหยียบผ้าทั้งหลายด้วยสัญญาณที่พระองค์ทรงแลดูนั่นเอง จึงทูลให้พระราชกุมารเก็บผ้าทั้งหลายเสีย ด้วยคำว่า

“พระราชกุมาร ขอพระองค์ทรงเก็บผ้าทั้งหลายเสียเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่ทรงเหยียบแผ่นผ้า เพราะพระตถาคตทรงเล็งดูหมู่ชนผู้เกิดภายหลัง”

พระศาสดาตรัสเหตุที่ไม่ทรงเหยียบผ้า

ท้าวเธอทรงเก็บผ้าทั้งหลาย แล้วทูลอาราธนาพระศาสดาให้เสด็จเข้าไปภายใน ทรงอังคาสให้อิ่มหนําด้วยยาคูและของเคี้ยว แล้วประทับนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ถวายอภิวาท แล้วทูลว่า

“ข้าแต่พร ะองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นอุปัฏฐากของพระองค์ ถึงพระองค์ว่าเป็นที่พึ่งถึง ๓ ครั้งแล้ว คือ

ข้าพระองค์อยู่ในครรภ์  ถึงพระองค์ว่าเป็นที่พึ่งครั้งที่ ๑
ครั้งที่ ๒ ในเวลาที่หม่อมฉันเป็นเด็กรุ่นหนุ่ม
ครั้งที่ ๓ ในกาลที่หม่อมฉันถึงความเป็นผู้รู้ดีรู้ชั่ว

พระองค์ไม่ทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยของหม่อมฉันนั้น เพราะเหตุอะไร”

พระศาสดาตรัสว่า

“ราชกุมาร ก็พระองค์ทรงดำริอย่างไรจึงลาดแผ่นผ้าน้อย”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคิดดังนี้ว่า ถ้าเราจักได้บุตรหรือธิดาไซร้ พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยของเรา แล้วจึงลาดแผ่นผ้า”

“ราชกุมาร เพราะเหตุนั้นอาตมภาพจึงไม่เหยียบ”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็หม่อมฉันจักไม่ได้บุตรหรือธิดาเลยเทียวหรือ”

“อย่างนั้น ราชกุมาร”

“เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าข้า”

“เพราะความที่พระองค์กับพระชายาเป็นผู้ถึงความประมาทแล้วในอัตภาพก่อน”

“ในกาลไหน พระพุทธเจ้าข้า”

เหตุให้โพธิราชกุมารไม่มีบุตรหรือธิดา

ลำดับนั้น พระศาสดาทรงนำอดีตนิทาน มาแสดงแด่พระราชกุมารนั้น

ในอดีตกาล มนุษย์หลายร้อยคนแล่นเรือลำใหญ่ไปสู่มหาสมุทร เรืออับปางในกลางสมุทร สองสามีภรรยาคว้าได้แผ่นกระดานแผ่นหนึ่ง ว่ายเข้าไปสู่เกาะแห่งหนึ่ง มนุษย์ที่เหลือทั้งหมดตายในมหาสมุทร

ก็ในเกาะนั้นมีหมู่นกเป็นอันมาก เขาทั้งสองถูกความหิวครอบงำ จึงเผากินไข่นกทั้งหลาย เมื่อไข่นกเหล่านั้นไม่เพียงพอ ก็จับลูกนกทั้งหลายปิ้งกิน เมื่อลูกนกเหล่านั้นไม่เพียงพอ ก็จับนกทั้งหลายปิ้งกิน ในปฐมวัยก็ดี มัชฌิมวัยก็ดี ปัจฉิมวัยก็ดี ก็ได้เคี้ยวกินอย่างนี้แหละ แม้ในวัยหนึ่งก็มิได้ถึงความไม่ประมาท บรรดาคน ๒ คนนั้น แม้คนหนึ่งก็ไม่ได้ถึงความไม่ประมาท

พึงรักษาตนไว้ให้ดีในวัยทั้งสาม

พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบุรพกรรมนี้ของโพธิราชกุมารนั้นแล้ว ตรัสว่า

“ราชกุมาร ก็ในกาลนั้น ถ้าพระองค์กับภรรยาถึงความไม่ประมาทแม้ในวัยหนึ่งไซร้ บุตรหรือธิดาพึงเกิดขึ้นแม้ในวัยหนึ่ง ก็ถ้าบรรดาท่านทั้งสองแม้คนหนึ่งได้เป็นผู้ไม่ประมาทแล้วไซร้ บุตรหรือธิดาจักอาศัยผู้ไม่ประมาทนั้นเกิด

ราชกุมาร ก็บุคคลเมื่อสำคัญตนอยู่ว่าเป็นที่รัก พึงไม่ประมาท รักษาตนแม้ในวัยทั้งสาม เมื่อไม่อาจรักษาได้อย่างนั้น พึงรักษาให้ได้แม้ในวัยหนึ่ง

ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า

“ถ้าบุคคลทราบตนว่าเป็นที่รัก พึงรักษาตนนั้นให้เป็นอันรักษาด้วยดี บัณฑิตพึงประคับประคองตนตลอดยามทั้งสาม ยามใดยามหนึ่ง”

ในกาลจบเทศนา โพธิราชกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว

พระธรรมเทศนาได้สำเร็จประโยชน์ แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล

 

 

อ้างอิง : โพธิราชกุมาร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๗ ข้อที่ ๑๒๐ - ๑๒๒
โพธิราชกุมาร อรรถกถา คาถาธรรมบท อัตตวรรค

ภาพ : ถ้าพระมหาโมคคัลานะ เขาคิชฌกูฏ นครราชคฤห์