21-06 สงฆ์สมมติให้พระทัพพมัลลบุตรแจกแจงเสนาสนะ



โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์

ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรมีอายุ ๗ ปี ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสาวกจะพึงบรรลุ ท่านได้บรรลุแล้วโดยลำดับทั้งหมด ท่านไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ท่านทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก

ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า

“เรามีอายุ ๗ ปี นับแต่เกิด ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสาวกจะพึงบรรลุ เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับทุกอย่าง

อนึ่งเล่า เราไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก เราควรทำการช่วยเหลืออะไรหนอแก่สงฆ์”

ลำดับนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรได้คิดตกลงใจว่า

“เราควรแต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์”

ครั้นท่านออกจากที่เร้นในเวลาเย็นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ข้าพระพุทธเจ้ามีอายุ ๗ ปี ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตแล้ว คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสาวกจะพึงบรรลุ ข้าพระพุทธเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับทุกอย่าง

ข้าพระพุทธเจ้า ไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ข้าพระพุทธเจ้าทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก ข้าพระพุทธเจ้าควรทำการช่วยเหลืออะไรหนอแก่สงฆ์

ข้าพระพุทธเจ้าคิดตกลงใจว่า ข้าพระพุทธเจ้าควรแต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์ ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาจะแต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์ พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

“ดีละ ดีละ ทัพพะ ถ้าเช่นนั้น เธอจงแต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์เถิด”

ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลรับสนองแด่พระผู้มีพระภาคว่า

“อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า”

สงฆ์สมมติพระทัพพมัลลบุตรให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะแจกอาหาร

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถาเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงสมมติทัพพมัลลบุตรให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหาร”

ก็แล ท่านพระทัพพมัลลบุตร อันสงฆ์สมมติแล้ว ย่อมแต่งตั้งเสนาสนะรวมไว้เป็นพวก ๆ สำหรับหมู่ภิกษุผู้สม่ำเสมอกัน คือ ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรงพระสูตร ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ว่า พวกเธอจักซักซ้อมพระสูตรกัน

ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรงวินัย ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ว่า พวกเธอจักวินิจฉัยพระวินัยกัน

ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรงพระอภิธรรม ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ว่า พวกเธอจักสนทนาพระอภิธรรมกัน

ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ได้ฌาน ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ว่า พวกเธอจักไม่รบกวนกัน

ภิกษุเหล่าใดชอบดิรัจฉานกถา ยังมีการบำรุงร่างกายอยู่มาก ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ว่า ท่านเหล่านี้จักอยู่ด้วยความยินดีแม้นี้

ภิกษุเหล่าใดมาในเวลาค่ำคืน ท่านก็เข้าจตุตถฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ แล้วแต่งตั้งเสนาสนะแม้สำหรับภิกษุเหล่านั้นโดยแสงสว่างนั้น

ภิกษุทั้งหลายย่อมแกล้งมาแม้ในเวลาค่ำคืน ด้วยประสงค์ว่าพวกเราจักได้ชมอิทธิปาฏิหาริย์ของท่านพระทัพพมัลลบุตร ดังนี้ก็มี ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปหาท่านพระทัพพมัลลบุตรแล้วพูดอย่างนี้ว่า

"พระคุณเจ้าทัพพะ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผม"

ท่านพระทัพพมัลลบุตรถามภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า

"ท่านปรารถนาจะอยู่ที่ไหน กระผมจะแต่งตั้งให้ ณ ที่ไหน"

ภิกษุเหล่านั้นแกล้งอ้างที่ไกล ๆ ว่า

"พระคุณเจ้าทัพพะ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ภูเขาคิชฌกูฏ"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่เหวสำหรับทิ้งโจร"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่กาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ถ้ำสัตตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภาระ"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่เงื้อมเขาสัปปโสณฑิกะใกล้สีตวัน"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ซอกเขาโคมฏะ"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ซอกเขาตินทุกะ"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ซอกเขากโปตะ"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ตโปทาราม"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ชีวกัมพวัน"

"ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่มัททกุจฉิมฤคทายวัน"

ท่านพระทัพพมัลลบุตรจึงเข้าจตุตถฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ มีองคุลีส่องแสงสว่างเดินนำหน้าภิกษุเหล่านั้นไป แม้ภิกษุเหล่านั้นก็เดินตามหลังท่านพระทัพพมัลลบุตรไปโดยแสงสว่างนั้นแล

ท่านพระทัพพมัลลบุตรแต่งตั้งเสนาสนะสำหรับภิกษุเหล่านั้นโดยชี้แจงอย่างนี้ว่า

"นี่เตียง นี่ตั่ง นั่นฟูก นี่หมอน นี่ที่ถ่ายอุจจาระ นี่ที่ถ่ายปัสสาวะ นี่น้ำฉัน นี่น้ำใช้ นี่ไม้เท้า นี่ระเบียบกติกาสงฆ์ ควรเข้าเวลานี้ ควรออกเวลานี้"

ครั้นแต่งตั้งเสร็จแล้ว กลับมาสู่พระเวฬุวันวิหารตามเดิม

พระเมตติยะและพระภุมมชกะ

ก็โดยสมัยนั้นแล พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เป็นพระบวชใหม่ และมีบุญน้อย เสนาสนะของสงฆ์ชนิดเลว และอาหารอย่างเลว ย่อมตกถึงแก่เธอทั้งสอง ครั้งนั้นชาวบ้านในพระนครราชคฤห์ชอบถวาย เนยใสบ้าง น้ำมันบ้าง แกงที่มีรสดีๆ บ้าง ซึ่งจัดปรุงเฉพาะพระเถระทั้งหลาย ส่วนพระเมตติยะและพระภุมมชกะ เขาถวายอาหารอย่างธรรมดาตามแต่จะหาได้ เป็นชนิดปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ เวลาหลังอาหาร เธอทั้งสองกลับจากบิณฑบาตแล้ว เที่ยวถามพวกภิกษุผู้เถระว่า

“ในโรงฉันของพวกท่านมีอาหารอะไรบ้างขอรับ”

พระเถระบางพวกบอกอย่างนี้ว่า

“พวกเรามีเนยใส น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ”

“พวกกระผมไม่มีอะไรเลย ขอรับ มีแต่อาหารอย่างธรรมดาตามแต่ที่จะหาได้ เป็นชนิดปลายข้าวมีน้ำส้มเป็นกับ”

สมัยต่อมา คหบดีผู้ชอบถวายอาหารที่ดี ถวายภัตตาหารวันละ ๔ ที่แก่สงฆ์เป็นนิจภัต เขาพร้อมด้วยบุตรภรรยาอังคาสอยู่ใกล้ๆ ในโรงฉัน คนอื่นๆ ย่อมถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อย  คราวนั้น ภัตตุเทสก์ ได้ถวายภัตตาหารของคหบดีผู้ชอบถวายอาหารที่ดี แก่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น ขณะนั้นท่านคหบดีไปสู่อารามด้วยกรณียะบางอย่าง แล้วเข้าไปหาท่านพระทัพพมัลลบุตรถึงที่สำนัก

ครั้นนมัสการท่านทัพพมัลลบุตร แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระทัพพมัลลบุตรยังท่านคหบดีผู้นั่งแล้ว ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นแล้วท่านคหบดีได้เรียนถามท่านว่า

“ภัตตาหารเพื่อจะฉันในวันพรุ่งนี้ที่เรือนของเกล้ากระผม พระคุณเจ้าจัดถวายแก่ภิกษุรูปไหนขอรับ”

ท่านพระทัพพมัลลบุตรตอบว่า

“อาตมาจัดให้แก่พระเมตติยะกับพระภุมมชกะแล้ว”

ขณะนั้น ท่านคหบดีเกิดความน้อยใจว่า

“ไฉนภิกษุผู้ลามกจักฉันภัตตาหารในเรือนของเราเล่า”

แล้วไปเรือนสั่งหญิงคนใช้ไว้ว่า

“แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ด้วยปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ”

หญิงคนใช้รับคำของท่านคหบดีว่า

“อย่างนั้น เจ้าค่ะ”

ครั้งนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะกล่าวแก่กันว่า

“เมื่อวานนี้ ท่านภัตตุเทสก์จัดภัตตาหารในเรือนท่านกัลยาณถัตติกคหบดีให้พวกเรา พรุ่งนี้ท่านคหบดีพร้อมด้วยบุตรภรรยา จักอังคาสเรา อยู่ใกล้ๆ คนอื่นๆ จักถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ”

ด้วยความดีใจนั้นแล ตกกลางคืนเธอทั้งสองนั้นจำวัดหลับไม่เต็มตื่น ครั้นเวลาเช้า พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรและจีวรเดินเข้าไปยังนิเวศน์ของกัลยาณภัตติกคหบดี

หญิงรับใช้นั้นได้แลเห็นพระเมตติยะและพระภุมมชกะ กำลังเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงปูอาสนะถวายที่ซุ้มประตู แล้วกล่าวว่า

“นิมนต์นั่ง เจ้าค่ะ”

พระเมตติยะและพระภุมมชกะนึกว่า

“ภัตตาหารจะยังไม่เสร็จเป็นแน่ เขาจึงให้เรานั่งพักที่ซุ้มประตูก่อน”

ขณะนั้นหญิงคนใช้นำอาหารปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับเข้าไปถวายกล่าวอาราธนาว่า

“นิมนต์ฉันเถิด เจ้าค่ะ”

“น้องหญิง พวกฉันเป็นพระรับฉันนิจภัต จ้ะ”

“ดิฉันทราบแล้วเจ้าค่ะว่า พระคุณเจ้าเป็นพระรับฉันนิจภัต แต่เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีได้สั่งดิฉันไว้ว่า แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ด้วยปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ ดังนี้ นิมนต์ฉันเถิด เจ้าค่ะ”

พระเมตติยะและพระภุมมชกะจึงปรึกษากันว่า

“อาวุโส เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีไปสู่อารามในสำนักพระทัพพมัลลบุตร ท่านคหบดีคงถูกพระทัพพมัลลบุตรยุยงเป็นแน่นอนทีเดียว”

เพราะความเสียใจนั้นแล เธอทั้งสองรูปนั้นฉันไม่ได้ดังใจนึก ครั้นกลับจากบิณฑบาตถึงอารามในเวลาหลังอาหาร เก็บบาตรและจีวรแล้ว นั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิอยู่ภายนอกซุ้มประตูอาราม นิ่งอั้น เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่พูดจา

เรื่อง ภิกษุณีเมตติยา

ครั้งนั้นแล ภิกษุณีเมตติยาเข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะถึงสำนัก ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า

“ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ”

เมื่อนางกล่าวอย่างนั้นแล้ว พระเมตติยะและพระภุมมชกะก็มิได้ทักทายปราศรัย นางจึงกล่าวว่า

“ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ”

แม้ครั้งที่สอง พระเมตติยะและพระภุมมชกะก็มิได้ทักทายปราศรัย นางจึงได้กล่าวอีกเป็นครั้งที่สามว่า

“ดิฉันไหว้เจ้าค่ะ”

แม้ครั้งที่สาม พระเมตติยะและพระภุมมชกะก็มิได้ทักทายปราศรัย ภิกษุณีเมตติยาถามว่า

“ดิฉันผิดอย่างไรต่อพระคุณเจ้าๆ ไม่ทักทายปราศรัยกับดิฉัน เพื่อประสงค์อะไร”

ภิกษุทั้งสองตอบว่า

“ก็จริงอย่างนั้นแหละ น้องหญิง พวกเราถูกพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ เธอยังเพิกเฉยได้”

“ดิฉันจะช่วยเหลืออย่างไร เจ้าคะ”

“น้องหญิง ถ้าเธอเต็มใจช่วย วันนี้แหละพระผู้มีพระภาคต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก”

“ดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันสามารถจะช่วยเหลือได้ด้วยวิธีไหน”

“มาเถิด น้องหญิง เธอจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงกราบทูลอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่มิดเม้น ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉันถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า”

ภิกษุณีเมตติยา รับคำของพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า

“ตกลงเจ้าค่ะ”

แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งกราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่มิดเม้น ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉันถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตร ประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า”

ประชุมสงฆ์ทรงสอบสวน

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า

“ดูกรทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมดังนางภิกษุณีนี้กล่าวหา”

ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด”

แม้ครั้งที่สองแล พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า

“ดูกรทัพพะเธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมดังนางภิกษุณีนี้กล่าวหา”

ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด”

แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า

“ดูกรทัพพะเธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมดังนางภิกษุณีนี้กล่าวหา”

ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด”

“ดูกรทัพพะ บัณฑิตย่อมไม่กล่าวแก้คำกล่าวหาเช่นนี้ ถ้าเธอทำก็จงบอกว่าทำ ถ้าเธอไม่ได้ทำ ก็จงบอกว่าไม่ได้ทำ”

“พระพุทธเจ้าข้า ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมา แม้โดยความฝันก็ยังไม่รู้จักเสพเมถุนธรรม จะกล่าวไยถึงเมื่อตอนตื่นอยู่เล่า”

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล พวกเธอจงให้ภิกษุณีเมตติยาสึกเสีย และจงสอบสวนภิกษุเหล่านี้”

เมื่อรับสั่งดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ เข้าพระวิหาร

หลังจากนั้น ภิกษุทั้งหลายได้ให้ภิกษุณีเมตติยาสึก พระเมตติยะและพระภุมมชกะจึงได้แถลงเรื่องนี้กะภิกษุทั้งหลายว่า

“อาวุโสทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย อย่าให้ภิกษุณีเมตติยาสึกเลย นางไม่ผิดอะไร พวกกระผมแค้นเคือง ไม่พอใจ มีความประสงค์จะให้ท่านพระทัพพมัลลบุตร เคลื่อนจากพรหมจรรย์ จึงได้ให้นางใส่ไคล้”

ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า

“อาวุโสทั้งหลาย ก็นี่พวกคุณโจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้หรือ”

ภิกษุสองรูปนั้นสารภาพว่า

“อย่างนั้น ขอรับ”

บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่สิกขา ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า

“ไฉน พระเมตติยะและพระภุมมชกะ จึงได้โจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้เล่า”

แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอโจททัพพมัลลบุตร ด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ จริงหรือ”

ภิกษุสองรูปนั้นทูลรับว่า

“จริง พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
“ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้โจททัพพมัลลบุตรด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้เล่า

การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่นเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสและเพื่อความเป็นอย่างอื่น ของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว

ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระเมตติยะและพระภุมมชกะโดยเอนกปริยาย ดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยเอนกปริยาย แล้วทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้นที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้

พระบัญญัติ

“อนึ่ง ภิกษุใด ขัดใจ มีโทสะ ไม่แช่มชื่น ตามกำจัด ซึ่งภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ ด้วยหมายว่า แม้ไฉนเราจะยังเธอให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์นี้ได้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม แต่อธิกรณ์นั้น เป็นเรื่องหามูลมิได้ และภิกษุยอมรับผิด เป็นสังฆาทิเสส”

 

 

อ้างอิง : พระทัพพมัลลบุตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑ ข้อที่ ๕๓๘-๕๔๑

ภาพ : พระพุทธรูปในเวฬุวันวิหาร