12-06 ทรงแก้เพลงขับเอรกปัตตนาคราช



พระศาสดาทรงอาศัยนครพาราณสี ประทับอยู่ที่โคนไม้ซีก ๗ ต้น ทรงปรารภพระยานาคชื่อเอรกปัตตะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า

ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลก่อน พระยานาคนั้นเป็นภิกษุหนุ่ม ขึ้นเรือไปในแม่น้ำคงคา ยึดใบตะไคร้น้ำกอหนึ่ง เมื่อเรือแม้แล่นไปโดยเร็วก็ไม่ปล่อย ใบตะไคร้น้ำขาดไป

ภิกษุหนุ่มนั้นไม่แสดงอาบัติ ด้วยคิดเสียว่า "นี้เป็นโทษเพียงเล็กน้อย" แม้ทำสมณธรรมในป่าสิ้น ๒ หมื่นปี ในกาลมรณภาพ เป็นประดุจใบตะไคร้น้ำผูกคอ แม้อยากจะแสดงอาบัติ เมื่อไม่เห็นภิกษุอื่น ก็เกิดความเดือดร้อนขึ้นว่า "เรามีศีลไม่บริสุทธิ์" จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดเป็นพระยานาค มีร่างกายประมาณเท่าเรือโกลน เขาได้มีชื่อว่า "เอรกปัตตะ" นั่นแล

ในขณะที่เกิดแล้วนั่นเอง พระยานาคนั้นแลดูอัตภาพแล้ว ได้มีความเดือดร้อนว่า "เราทำสมณธรรมตลอดกาลชื่อมีประมาณเท่านี้ เป็นผู้บังเกิดในที่มีกบเป็นอาหาร ในกำเนิดแห่งอเหตุกสัตว์"

ในกาลต่อมา เขาได้ธิดาคนหนึ่ง แผ่พังพานใหญ่บนหลังน้ำในแม่น้ำคงคา วางธิดาไว้บนพังพานนั้น ให้ฟ้อนรำขับร้องแล้ว

พระยานาคออกอุบายเพื่อทราบการอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า               

เขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า

"เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น เราจักได้ยินความที่พระพุทธเจ้านั้นบังเกิดขึ้นด้วยอุบายนี้แน่ละ ผู้ใดนำเพลงขับ แก้เพลงขับของเราได้ เราจักให้ธิดากับด้วยนาคพิภพอันใหญ่แก่ผู้นั้น"

วางธิดานั้นไว้บนพังพาน ในวันอุโบสถทุกกึ่งเดือน.

ธิดานั้นยืนฟ้อนอยู่บนพังพานนั้น ขับเพลงขับนี้ว่า

ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า ชื่อว่าพระราชา
อย่างไรเล่า พระราชาชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร
อย่างไรเล่า ชื่อว่าปราศจากธุลี
อย่างไร ท่านจึงเรียกว่า ‘คนพาล'

ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นพากันมาด้วยหวังว่า "เราจักพาเอานางนาคมาณวิกา" แล้วทำเพลงขับแก้ ขับไปโดยกำลังปัญญาของตน ๆ นางย่อมห้ามเพลงขับตอบนั้น เมื่อนางยืนอยู่บนพังพานทุกกึ่งเดือน ขับเพลงอยู่อย่างนี้เท่านั้น พุทธันดรหนึ่งล่วงไปแล้ว

พระศาสดาทรงผูกเพลงขับแก้               

ครั้งนั้น พระศาสดาทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูโลก ทำเอรกปัตตนาคราชให้เป็นต้น ทรงเห็นมาณพชื่ออุตตระ ผู้เข้าไปภายในข่าย คือ พระญาณของพระองค์ ทรงใคร่ครวญดูว่าจักมีเหตุอะไรได้ทรงเห็นแล้วว่า วันนี้เป็นวันที่เอรกปัตตนาคราชทำธิดาไว้บนพังพานแล้วให้ฟ้อน อุตตรมาณพนี้เรียนเอาเพลงขับแก้ที่เราให้แล้วจักเป็นโสดาบัน เรียนเอาเพลงขับนั้นไปสู่สำนักของนาคราชนั้น นาคราชนั้นฟังเพลงขับแก้นั้นแล้ว จักทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว จักมาสู่สำนักของเรา เมื่อนาคราชนั้นมาแล้ว เราจักกล่าวคาถาในสมาคมอันใหญ่ ในกาลจบคาถา สัตว์ประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันจักตรัสรู้ธรรม

พระศาสดาเสด็จไปในที่นั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ โคนต้นซึกต้นหนึ่ง บรรดาต้นซึก ๗ ต้นที่มีอยู่ในที่ไม่ไกลแต่เมืองพาราณสี ชาวชมพูทวีปพาเอาเพลงขับแก้เพลงขับไปประชุมกันแล้ว พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอุตตรมาณพกำลังไปในที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า

"อุตตระ"

อะไร พระเจ้าข้า

เธอจงมานี่ก่อน

ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพนั้นผู้มาถวายบังคมนั่งลงแล้ว ถามว่า

"เธอจะไปไหน"

จักไปยังที่ที่ธิดาของเอรกปัตตนาคราช ขับเพลง

ก็เธอรู้เพลงขับแก้เพลงขับหรือ

ข้าพระองค์ทราบ พระเจ้าข้า

เธอจงกล่าวเพลงเหล่านั้นดูก่อน

ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพผู้กล่าวตามธรรมดาความรู้ของตนเท่านั้นว่า

"แน่ะอุตตระ นั่นไม่ใช่เพลงขับแก้ เราจักให้เพลงขับแก้แก่เธอ เธอต้องเรียนเพลงขับแก้นั้นให้ได้"

ดีละ พระเจ้าข้า

อุตตรมาณพเรียนเพลงแก้จากพระศาสดา               

ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า

"อุตตระ ในกาลที่นางนาคมาณวิกาขับเพลง เธอพึงขับเพลงแก้นี้ว่า

ผู้เป็นใหญ่ในทวาร ๖ ชื่อว่าเป็นพระราชา
พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร
ผู้ไม่กำหนัดอยู่ ชื่อว่าปราศจากธุลี
ผู้กำหนัดอยู่ท่านเรียกว่า คนพาล

พระศาสดา ครั้นประทานเพลงขับแก้แก่อุตตรมาณพนั้นอย่างนี้แล้ว ตรัสว่า

"อุตตระ เมื่อเธอขับเพลงขับนี้ นางจักขับเพลงขับแก้ เพลงขับของเธออย่างนี้ว่า

คนพาลอันอะไรเอ่ย ย่อมพัดไป
บัณฑิตย่อมบรรเทาอย่างไร
อย่างไร จึงเป็นผู้มีความเกษมจากโยคะ
ท่านผู้อันเราถามแล้ว โปรดบอกข้อนั้นแก่เรา’

ทีนั้น ท่านพึงขับเพลงขับแก้นี้แก่นางว่า

คนพาลอันห้วงน้ำ (คือกามโอฆะเป็นต้น) ย่อมพัดไป
บัณฑิตย่อมบรรเทา (โอฆะนั้น) เสียด้วยความเพียร
บัณฑิตผู้ไม่ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง
ท่านเรียกว่า ผู้มีความเกษมจากโยคะ

อุตตรมาณพดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลเมื่อกำลังเรียนเพลงขับแก้นี้เทียว

เขาเอาคาถานั้นไปแล้ว กล่าวว่า

"ผู้เจริญ ฉันนำเพลงขับแก้เพลงขับมาแล้ว, พวกท่านจงให้โอกาสแก่ฉัน"

ได้คุกเข่าไปในท่ามกลางมหาชนที่ยืนยัดเยียดกันอยู่แล้ว นางนาคมาณวิกายืนฟ้อนอยู่บนพังพานของพระบิดา แล้วขับเพลงขับว่า

"ผู้เป็นใหญ่ อย่างไรเล่า ชื่อว่าเป็นพระราชา" เป็นต้น

อุตตรมาณพ ขับเพลงแก้ว่า

"ผู้เป็นใหญ่ในทวาร ๖ ชื่อว่าเป็นพระราชา" เป็นอาทิ

นางนาคมาณวิกา ขับเพลงโต้แก่อุตตรมาณพนั้นอีกว่า

"คนพาล อันอะไรเอ่ย ย่อมพัดไป" เป็นต้น

ทีนั้น อุตตรมาณพ เมื่อจะขับเพลงแก้แก่นาง จึงกล่าวคาถานี้ว่า

"คนพาลอันห้วงน้ำย่อมพัดไป" ดังนี้เป็นต้น.

นาคราชทราบว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว              

นาคราชพอฟังคาถานั้น ทราบความที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ดีใจว่า

"เราไม่เคยฟังชื่อบทเห็นปานนี้ ตลอดพุทธันดรหนึ่ง ผู้เจริญ พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกแล้วหนอ"

จึงเอาหางฟาดน้ำ คลื่นใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ฝั่งทั้งสองพังลงแล้ว. พวกมนุษย์ในที่ประมาณอุสภะหนึ่ง แต่ฝั่งข้างนี้และฝั่งข้างโน้น จมลงไปในน้ำ. นาคราชนั้นยกมหาชนมีประมาณเท่านั้นวางไว้บนพังพาน แล้วตั้งไว้บนบก

นาคราชนั้นเข้าไปหาอุตตรมาณพ แล้วถามว่า

"แน่ะนาย พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน"

ประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง มหาราช

นาคราชนั้นกล่าวว่า

"มาเถิดนาย พวกเราจะพากันไป"

แล้วได้ไปกับอุตตรมาณพ ฝ่ายมหาชนก็ได้ไปกับเขาเหมือนกัน นาคราชนั้นไปถึง เข้าไปสู่ระหว่างพระรัศมีมีพรรณะ ๖ ถวายบังคัมพระศาสดาแล้ว ได้ยืนร้องไห้อยู่ ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนาคราชนั้นว่า

"นี่อะไรกัน มหาบพิตร"

พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับด้วยพระองค์ ได้ทำสมณธรรมสิ้น ๒ หมื่นปี แม้สมณธรรมนั้นก็ไม่อาจเพื่อจะช่วยข้าพระองค์ได้ ข้าพระองค์อาศัยเหตุสักว่ให้ใบตะไคร้น้ำขาดไปมีประมาณเล็กน้อย ถือปฏิสนธิในอเหตุกสัตว์ เกิดในที่ที่ต้องเลื้อยไปด้วยอก ย่อมไม่ได้ความเป็นมนุษย์เลย ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เช่นกับด้วยพระองค์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง

พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของนาคราชนั้นแล้ว ตรัสว่า

"มหาบพิตร ชื่อว่าความเป็นมนุษย์หาได้ยากนัก การฟังพระสัทธรรม ก็อย่างนั้น การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากเหมือนกัน เพราะว่าทั้งสามอย่างนี้ บุคคลย่อมได้โดยลำบากยากเย็น"

เมื่อจะทรงแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า

ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก
การฟังพระสัทธรรมเป็นของยาก
การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก

ก็ขึ้นชื่อว่า ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็นการยาก คือหาได้ยากเพราะความเป็นมนุษย์ บุคคลต้องได้ด้วยความพยายามมาก ด้วยกุศลมาก ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ชื่อว่าเป็นอยู่ยาก เพราะทำกรรมมีกสิกรรมเป็นต้นเนือง ๆ แล้วสืบต่อความเป็นไปแห่งชีวิตบ้าง เพราะชีวิตเป็นของน้อยบ้าง แม้การฟังพระสัทธรรม ก็เป็นการยาก เพราะค่าที่บุคคลผู้แสดงธรรมหาได้ยากในกัปมิใช่น้อย

อนึ่ง ถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็เป็นการยากเหมือนกัน คือได้ยากยิ่งนัก เพราะอภินิหารสำเร็จด้วยความพยายามมาก และเพราะการอุบัติขึ้นแห่งท่านผู้มีอภินิหารอันสำเร็จแล้ว เป็นการได้โดยยาก ด้วยพันแห่งโกฎิกัปมิใช่น้อย"

นาคราชไม่บรรลุโสดาบัน

ในกาลจบเทศนา เหล่าสัตว์ ๘ หมื่น ๔ พันได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว ฝ่ายนาคราชควรจะได้โสดาปัตติผลในวันนั้น แต่ก็ไม่ได้ เพราะค่าที่ตนเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคราชนั้นถึงภาวะคือความไม่ลำบากในฐานะทั้ง ๕ กล่าวคือการถือปฏิสนธิ การลอกคราบ การวางใจแล้วก้าวลงสู่ความหลับ การเสพเมถุนกับด้วยนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน และจุติที่พวกนาคถือเอาสรีระแห่งนาคนั่นแหละ แล้วลำบากอยู่ ย่อมได้เพื่อเที่ยวไปด้วยรูปแห่งมาณพนั่นแล ดังนี้แล

 

 

อ้างอิง : อรรถกถา คาถาธรรมบท พุทธวรรค เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตตะ

ภาพ : Anjali - จุฬาตรีคูณ (สังคัม)